THUS

THUS The house of traders

ช่วงเริ่มปีใหม่ คนส่วนใหญ่มักรีวิวชีวิตตัวเองในปีที่ผ่านมาแล้วตั้งเป้าหมายในปีนี้ว่าอยากจะทำอะไร แต่หลายๆคนก็ไม่สามารถบร...
01/02/2025

ช่วงเริ่มปีใหม่ คนส่วนใหญ่มักรีวิวชีวิตตัวเองในปีที่ผ่านมาแล้วตั้งเป้าหมายในปีนี้ว่าอยากจะทำอะไร แต่หลายๆคนก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้ สำหรับบางคนนั้นเป้าหมายก็จางหายไปตั้งแต่ยังไม่จบเดือนมกราคมด้วยซ้ำ อะไรกันที่เป็นสาเหตุให้คนส่วนใหญ่ถึง 80% ไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ? มีเคล็ดลับอะไรไหมที่จะทำให้เราสามารถทำเป้าหมายให้สำเร็จ? วันนี้เรามาหาคำตอบกันค่ะ

เรามักจะฟังรายการ ‘ความสุขโดยสังเกต’ ในระหว่างที่วิ่งออกกำลังกายในตอนเช้า เช้าวันหนึ่งในเดือนมกราคมนี้ก็ได้ฟัง EP ที่มีชื่อว่า “วิธีทำให้ ‘เป้าปีใหม่’ เป็นจริง ด้วยการเปลี่ยนแปลงแค่ 20 วินาที” ซึ่งบังเอิญประจวบเหมาะกับช่วงเวลานี้พอดี และเมื่อไม่นานพี่โอห์มก็พึ่งได้สั่งให้ทีมทัศน์ทำ Bucket list 100 ข้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องกันในการตั้งเป้าหมายและทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ เลยอยากจะแชร์สิ่งที่ได้รับจากการฟังพอดแคสต์นี้ค่ะ

เรามักจะรู้อยู่แล้วว่าอะไรดีหรืออะไรไม่ดี แต่ที่ไม่สำเร็จเพราะไม่ลงมือทำ หนังสือ “ความสุขกับความสำเร็จอะไรเกิดขึ้นก่อนกัน” ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์เราทุกคนเป็นแหล่งรวมความเคยชิน เราก็เลยทำอะไรแบบอัตโนมัติ เพราะสมองของเรามีการเรียนรู้จากการทำซ้ำและเลือกทำหนทางที่ง่ายที่สุดเสมอ ดังนั้นการหัดนิสัยใหม่ๆจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ‘การสร้างความเคยชินใหม่เป็นการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนระยะยาว’ เพราะเราต้องค่อยๆบ่มเพาะนิสัยใหม่ๆที่ดีของเราไปเรื่อยๆจนเกิดเป็นความเคยชิน แล้วสร้างตัวตนที่ดีของเราขึ้นมา การฝึกฝนของสมองไม่มีอายุ ก็คือไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ เราก็ยังสามารถฝึกฝนสมองให้เก่งในเรื่องใหม่ๆ ได้อยู่เสมอ โดยมีหลักใน

การฝึกสมองในการสร้างนิสัยเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จได้ดังนี้

1. อย่าตั้งเป้าเยอะเกินไป เลือกเฉพาะที่ทำคัญมาไม่กี่อย่าง แล้วทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงดีกว่า จริงๆควรเลือกเป้าหมายที่สำคัญทีละ 1 ข้อ แล้วตั้งใจทำมันให้สำเร็จให้ได้

2. ตระหนักรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเรากำลังฝึกทำนิสัยหรือพัฒนาทักษะบางอย่างที่ดี เพราะฉะนั้นมันไม่ง่ายแต่เราจะทำมันได้ ถ้าเราทำบ่อยๆจนสมองเราเคยชินกับมันจนกลายเป็นเรื่องปกติ เมื่อถึงวันนั้นเราจะไม่ต้องใช้ความพยายามเท่าเดิมอีกต่อไป มีทฤษฎี 21 วัน ซึ่งกล่าวว่าถ้าเราทำอะไร 21 วันต่อเนื่อง มันจะเป็นนิสัยติดตัวเราไปเลย ดังนั้นเราต้องสตาร์ทเครื่องให้ติด แล้วเอาชนะแรงเสียดทานในช่วงแรกให้ได้

3. เอาเป้าหมายวางไว้กลางห้อง จัดสรรสภาพแวดล้อมให้เข้าถึงเป้าหมายได้ง่าย พร้อมทั้งขจัดมารที่เป็นตัวรบกวนเป้าหมายของเราออกไปให้พ้นหู พ้นตา พ้นมือของเราซะ เช่น เป้าหมายอ่านหนังสือให้ได้เยอะขึ้นก็เอาหนังสือออกมาวางไว้ในที่หยิบขึ้นมาอ่านได้ง่าย แล้วเอารีโมททีวี(มาร)ไปเก็บไว้ในที่ไกลๆให้พ้นสายตา

4. ให้สัญญากับตัวเองด้วยการกระทำ การให้สัญญากับตัวเองในใจมันไม่เพียงพอ เช่น สวมชุดที่จะวิ่งไว้เลยก่อนนอน เมื่อเราคิดว่าตอนเช้าเราจะวิ่ง เป็นการนำสิ่งที่เราจะทำมาแปลงเป็นการกระทำ โดยเหมือนเป็นการเตรียมพร้อมที่จะทำตามที่สัญญากับตัวเองเอาไว้

5. ในการเลือกกิจกรรมที่เราจะทำ ให้ตัดช้อยส์ล่วงหน้าเอาไว้เลยให้เหลือแค่อย่างเดียว วางแผนให้มีภาพที่ชัดมากๆ และเรียบง่าย แล้วเราก็ทำสิ่งนั้นซ้ำๆจนกว่าจะกลายเป็นนิสัย เช่น เราจะออกกำลังกาย แต่ยังไม่เลือกให้ชัดว่าจะออกกำลังกายอะไร จะว่ายน้ำหรือจะวิ่งดีหรือจะฟิตเนสดี สรุปก็ไม่ได้ทำอะไรเพราะเลือกไม่ได้ซักที แล้วสมองของเราก็หมดพลังงานไปกับการคิดว่าจะทำอะไรดี สุดท้ายก็หมดเวลาแล้วก็ไม่ได้ออกกำลังกาย

6. สร้างกฎให้ตัวเองที่จะทำหรือไม่ทำสิ่งต่างๆ เช่น จะอ่านหนังสือ 3-4 ทุ่ม โดยที่ระหว่างนั้นจะไม่ทำอะไรเลย หรือในช่วงเวลาทำงานจะไม่เล่นโซเชียลเลย

ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคที่สำคัญที่จะทำให้ภาพในฝันของเรามันกลายเป็นนิสัยได้สำเร็จ ซึ่งเมื่อพอมันกลายเป็นนิสัยแล้ว เราก็ไม่ต้องมาบังคับตัวเองอีกต่อไป เพราะว่าการเปลี่ยนนิสัยมันยากมาก ดังนั้นพอมันเปลี่ยนเป็นนิสัยแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีคนบอกให้เราเลิกทำสิ่งนั้น มันจะยากกว่าบอกให้ทำซะอีก ถ้าเรามีนิสัยที่เสพติดในเรื่องดีๆแล้ว ชีวิตก็จะพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว เช่น ชอบออกกำลังกายเป็นนิสัย ชอบอ่านหนังสือเป็นนิสัย กลายเป็นธรรมชาติของเรา การสร้างนิสัยเป็นการเปลี่ยนสิ่งที่เคยยากให้กลายเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายสำหรับเรา พยามขจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการสร้างนิสัยที่ดีของเราไปให้มากที่สุด จุดเริ่มต้นเล็กๆแบบนี้ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตของเราก็ได้ เราอาจจะสามารถวิ่งจบมาราธอนได้เลยจากการแค่ใส่ชุดวิ่งก่อนนอนเพื่อที่จะไปซ้อมวิ่งในตอนเช้า

ตอนแรกเป้าหมายมันอาจจะดูเป็นไปไม่ได้เลย แต่พอเราสร้างนิสัยของเราได้สำเร็จ มันก็จะไม่ยากอย่างที่คิด ความรู้ที่ไม่ได้ลงมือทำก็ไม่ต่างจากไม่รู้ ความรู้ไม่ได้ทำให้เราประสบความสำเร็จ แต่การนำความรู้ไปลงมือทำต่างหากที่สำคัญ พี่โอห์มมักจะพูดอยู่บ่อยๆว่า การเป็นเทรดเดอร์ที่ดี เราต้องพัฒนาระบบอัตโนมัติของเราให้ดี เพราะเทรดเดอร์เป็นอาชีพที่ต้องตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา การสร้างนิสัยดีๆ ขัดเกลาตัวเอง จนเราเคยชินกับพฤติกรรมที่ดี จะทำให้การตัดสินใจและตอบสนองต่างๆของเรามันดีอย่างเป็นอัตโนมัติ

Ref: วิธีทำให้ ‘เป้าปีใหม่’ เป็นจริง ด้วยการเปลี่ยนแปลงแค่ 20 วินาที | ความสุขโดยสังเกต EP.22 (https://www.youtube.com/watch?v=ygtQAwt9rSg&list=PLZ0vRaBzdrQ1LQsrwpHgAK-9AD480yAuL&index=19)

💜

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน 😁💜
27/01/2025

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน 😁💜

ในชีวิตของเราทุกคนล้วนมีความฝันและเป้าหมายที่อยากบรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการมีความสุขกับชีวิต การสร้างความมั่งคั่ง การประสบควา...
25/01/2025

ในชีวิตของเราทุกคนล้วนมีความฝันและเป้าหมายที่อยากบรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการมีความสุขกับชีวิต การสร้างความมั่งคั่ง การประสบความสำเร็จในอาชีพ หรือการมีความสัมพันธ์ที่ดี แต่หลายคนกลับรู้สึกว่าเป้าหมายเหล่านี้อยู่ไกลเกินเอื้อม ทั้งที่แท้จริงแล้ว ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตาเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นผลลัพธ์ของการวางแผน การมุ่งมั่น และการลงมือทำอย่างมีประสิทธิภาพ

การตั้งเป้าหมายเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถกำหนดทิศทางและสร้างแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมายชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการเรียน การทำงาน หรือชีวิตส่วนตัว การตั้งเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้เราเดินทางไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้อย่างมั่นคงและรวดเร็ว

การตั้งเป้าหมาย ก่อนอื่นเลย เราควรทำความเข้าใจกับตัวเราก่อนเลย และถามกับตัวเราเองว่า
• เราต้องการอะไรจริงๆ ?
• สิ่งนี้สำคัญต่อชีวิตเราจริงๆไหม ?

เพราะการเข้าใจในตัวเราเองจะช่วยให้เราตั้งเป้าหมายที่มีคุณค่าและสอดคล้องกับความต้องการของชีวิตเราจริงๆ

หลักการ SMART ในการตั้งเป้าหมาย
หลักการ SMART เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายให้มีความชัดเจนและมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

โดยแต่ละตัวอักษรในคำว่า SMART มีความหมายดังนี้:

- S: Specific (เจาะจง)
เป้าหมายต้องชัดเจนและเจาะจง เพื่อให้เรารู้ว่าเรากำลังพยายามทำอะไร
เช่น:
• แทนที่จะตั้งเป้าหมายว่า “อยากเป็นคนรักการอ่าน” เราควรตั้งว่า “เราจะอ่านหนังสือ 4 ครั้งต่อสัปดาห์”
การระบุเป้าหมายให้ชัดเจนช่วยให้คุณมีทิศทางที่แน่นอน

- M: Measurable (วัดผลได้)
เป้าหมายควรมีตัวชี้วัดที่สามารถประเมินผลสำเร็จได้
เช่น:
• แทนที่จะบอกว่า “อยากอ่านหนังสือ” เราควรตั้งว่า “เราจะอ่านหนังสือ 30 นาที ใน 1 วัน”
ตัวชี้วัดทำให้เราสามารถติดตามความคืบหน้าและปรับเปลี่ยนแผนได้ตามความเหมาะสม

- A: Achievable (เป็นไปได้)
เป้าหมายควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และสามารถทำได้จริงตามทรัพยากรที่คุณมี
เช่น:
• หากเราเพิ่งเริ่มที่อยากจะเป็นคนรักการอ่าน แทนที่จะตั้งเป้าหมายว่า “เราจะอ่านหนังสือวันละ 2 ชั่วโมง ทุกวัน” ให้เริ่มจาก “เราอ่านหนังสือ 15 นาทีต่อวันแล้วทำให้ได้เรื่อยๆ”
การตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ช่วยลดความเสี่ยงของความล้มเหลวและความท้อแท้

- R: Relevant (สอดคล้องกับชีวิต)
เป้าหมายควรเกี่ยวข้องและสอดคล้องกับความต้องการหรือค่านิยมของเรา
เช่น:
• หากเราต้องการพัฒนาทักษะการทำงาน เป้าหมายอาจเป็น “เรียนรู้การใช้งาน indicator ที่เราสนใจใน 2 เดือน” หรือ “ อยาก back test 5 ปี ย้อนหลัง สินค้าที่เราสนใจ ใน 1 เดือน ”
เป้าหมายที่สอดคล้องกับสิ่งสำคัญในชีวิตช่วยเพิ่มแรงจูงใจและความตั้งใจ

- T: Time-bound (มีกรอบเวลา)
เป้าหมายควรกำหนดระยะเวลาในการทำให้สำเร็จ เพื่อกระตุ้นให้เราลงมือทำ
เช่น:
• แทนที่จะบอกว่า “เราจะออมเงิน” ให้ระบุว่า “เราจะออมเงิน 10,000 บาทภายใน 6 เดือน” หรือ เราจะอ่านหนังสือ“เราจะอ่านหนังสือ 1 เล่ม ภายใน 15 วัน“
การมีกรอบเวลาชัดเจนช่วยให้คุณมุ่งเน้นและจัดลำดับความสำคัญได้ดีขึ้น

- ตัวอย่างการนำ SMART มาใช้
เป้าหมายเดิม: “อยากเป็นคนรักการอ่าน”
เป้าหมาย SMART: “เราจะตั้งว่าเราจะอ่านหนังสือ 4 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยกำหนดเวลาอ่านวันละ 30 นาทีต่อวัน และอ่านหนังสือให้ได้วันละ 1 ชั่วโมงทุกวัน ภายใน 6 เดือน”

ข้อดีของหลักการ SMART

1. ช่วยให้เป้าหมายชัดเจนและเข้าใจง่าย
2. ช่วยวางแผนการดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เพิ่มโอกาสในการทำเป้าหมายให้สำเร็จ

นี่เป็นเพียงบางหลักการที่เราจะสามารถนำมาใช้ปฏิบัติ และเป็นหลักยึดในการตั้งเป้าหมาย และทำตามเป้าหมายของเราให้สำเร็จ หากเราอยากที่จะพัฒนาชีวิตของเราให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม เราควรเริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกับสิ่งที่เราต้องการ และหาหลักในการยึดเหนี่ยว ทำตามเป้าหมายของเราให้ได้ เริ่มจากการตั้งเป้าหมายเล็กๆ อย่างการ อยากมีสุขภาพที่ดีขึ้น เราควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 วัน อยากเป็นคนรักการอ่าน เริ่มจากอ่านหนังสือวันละ 15-30 นาที

"เริ่มต้นปีใหม่ปีนี้ เรามาเริ่มต้นทำสิ่งดีๆให้กับชีวิตของเรากัน ด้วยการตั้งเป้าหมายของเรา และทำตามเป้าหมายของเราให้สำเร็จกัน"

💜

24/01/2025

ราคาทองวีคนี้จะปิดแท่ง
ที่ราคาเท่าไรครับ
❓❓❓❓
มาลองเดากัน

นึกถึงความเสี่ยงก่อนเสมอ 💜
20/01/2025

นึกถึงความเสี่ยงก่อนเสมอ 💜

18/01/2025

ความเสี่ยงของตัวเราอาจจะมาจากการที่เรามีความรู้และประสบการณ์ที่น้อยเกินไป โดยนำสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อว่าถูกต้องมาใช้งาน หรือเรียกอีกอย่างว่า "ความเสี่ยงของความไม่รู้" เทรดเดอร์มักจะเจอกับความเสี่ยงในรูปแบบนี้ด้วยกันทุกคน โดยเฉพาะมือใหม่ที่มีประสบการณ์น้อย โดยส่วนใหญ่ความเสี่ยงในรูปแบบนี้เรามักเผชิญในเวลาที่เราเทรดได้กำไรมาอย่างต่อเนื่องจนเกิดความมั่นใจที่มากเกินไป ทำให้เราคิดว่าสิ่งที่เราใช้นั้นดี แต่เมื่อตลาดมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป การที่เรามั่นใจมากเกินไปจนอาจจะเกิดการใช้ขนาดการเทรดที่มากเกินไป หรือเทรดโดยไม่ได้ทำตามระบบของเรา แต่เทรดไปโดยไม่วางแผน ทำให้พอร์ตโฟลิโอของเราต้องประสบกับการขาดทุนหนัก ซึ่งเป็นความเสี่ยงจากความไม่รู้ของเรา

สำหรับความเสี่ยงของความไม่รู้ เราสามารถแก้ไขได้หลายวิธี เช่น ฝึกเป็นนักคิดและตั้งคำถามกับตัวเองว่ากำไรที่เราได้มาในครั้งก่อนมันมีสาเหตุมาจากอะไร และวิเคราะห์ว่าในปัจจุบันสภาพตลาดเป็นอย่างไร เพื่อหาความเชื่อมโยงอย่างเป็นเหตุเป็นผล สามารถช่วยให้เราลดความมั่นใจลงได้บ้างถ้าเราคิดตามความจริง นอกจากนั้น เราอาจจะหาคนที่มีความคิดที่แตกต่างกับความคิดของเราใน Social Media หรือเทรดเดอร์ที่อยู่รอบตัวเราเพื่อตรวจสอบว่าเรายังมีความคิดจุดไหนที่ยังเป็นช่องว่างของแผนเราอยู่หรือไม่ เราจำเป็นที่จะต้องเปิดใจรับฟังผู้อื่นอย่างเป็นกลางและหนักแน่นในการตัดสินใจตามแผนของตัวเอง เป็นต้น ทั้งนี้ สิ่งที่เราขาดไม่ได้สำหรับการเป็นเทรดเดอร์คือการเป็นคนที่ไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว กล่าวคือ เราต้องเป็นนักเรียนรู้อยู่ตลอด หมั่นฝึกฝนและอัพเดตความรู้ของตัวเองให้มากขึ้นทุกวันเพื่อลดช่องว่างของความไม่รู้ในตัวเรา

ความเสี่ยงอีกรูปแบบหนึ่งคือ ความเสี่ยงจากมุมมืดภายในตัวของเรา มนุษย์ทุกคนมีข้อเสียในตัวเองมาด้วยกัน แต่สิ่งที่เราต่างกันคือแต่ละคนมีข้อเสียคนละรูปแบบ เช่น บางคนมีพฤติกรรมที่จัดการกับความเสี่ยงแบบนักพนัน หรือบางคนรู้สึกอยากเอาคืนเวลาที่เสียเงินของตัวเองไป ความเสี่ยงในรูปแบบของ Dark Side เป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักรู้เท่าทันมันให้ได้ เพราะมันเป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อการเทรดของเรา เช่น เทรดเดอร์ฟิวเจอร์สสามารถใช้อัตราทดของเงินทุนที่มีได้ การที่เรามีนิสัยแบบนักพนันที่คิดถึงแต่กำไรที่จะได้ก่อนความเสี่ยง อาจจะทำให้เราเลือกที่จะใช้ความเสี่ยงมากเกินไปจนทำให้พอร์ตของเราพังเสียหาย หรือการที่เรามีความรู้สึกอยากเอาคืนอาจจะทำให้เราพยายามที่จะหาเงินกับตลาดในช่วงเวลาที่ตลาดไม่ได้ให้เรา แต่เราเอาความรู้สึกของเราเข้าไปเล่นจนทำให้เกิดภาวะมึนหรือเมาตลาด

สิ่งนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการสังเกตและจดบันทึกผ่านการจดบันทึกการเทรด เพื่อให้เห็นถึงลักษณะนิสัยของเราว่ามีผลเสียอย่างไรต่อการเทรด และที่ยากที่สุดคือการแก้ไขตัวเราเอง เลิกนิสัยที่ไม่ดีของตัวเรา แล้วเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตัวเราเองต้องใช้เวลาและความแข็งแกร่งของจิตใจ เป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องใช้เวลาในชีวิตของตัวเอง

นอกจากนั้น เราควรจะมีแผนทุกครั้งในการเทรด โดยเขียนแผนออกมาอย่างชัดเจนและปฏิบัติตามแผนที่วางไว้เพื่อให้ลดช่องว่างในการตัดสินใจแบบไม่มีแผนออกไปจากการเทรดของเรา ซึ่งก่อนที่เราจะวางแผนควรคิดเงื่อนไขในการตัดสินใจและทำการทดลอง backtesting มาให้มีค่าสถิติแล้วก่อนเสมอ ไม่อย่างงั้นจะไม่ต่างอะไรกับการตัดสินใจไปบนเงื่อนไขที่เราไม่สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์อะไรได้ล่วงหน้า

💜

คุณพร้อมที่จะเสี่ยงหรือไม่ 💜
13/01/2025

คุณพร้อมที่จะเสี่ยงหรือไม่ 💜

11/01/2025

หลายครั้งในการเทรด โดยเฉพาะตอนที่เราต้องตัดสินใจ มันมักจะมี ‘วูบหนึ่ง’ ที่แว้บเข้ามาเพียงชั่วครู่ให้เราได้ทำอะไรที่แปลกไป จนรู้ตัวอีกทีก็ทำสิ่งไม่ดีไปเสียแล้ว หรืออาจพูดอีกอย่างได้ว่า หลายๆครั้งของการเป็นเทรดเดอร์เราเผลอตัดสินใจตามสัญชาตญาณ แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำตามสัญชาตญาณเหล่านั้น กลับไม่ใช่ผลดีเอาเสียเลย คุณเคยถามตัวเองไหมว่าที่พอร์ตของตัวเองขาดทุนหรือกำไรเกิดจากอะไร? ส่วนใหญ่แล้วเวลากำไรมนุษย์เรามีแนวโน้มที่จะชื่นชมในความสามารถของตัวเอง ในทางกลับกันเวลาเราขาดทุน เรามักจะโทษสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นข่าว ตัวเลขเศรษฐกิจ ถ้าเราลองคิดบนพื้นฐานของความเป็นจริง เราอาจได้คำตอบว่า ตัวเราเองนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุของผลลัพธ์ทั้งหมด

ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถลบออกจากการเทรดของเราได้ นั่นหมายถึงประสบการณ์ร้าย ๆ เป็นส่วนหนึ่งของเกมส์นี้ มันเป็นธรรมชาติของการเทรด เทรดเดอร์มักจะต้องเผชิญกับความเครียด ความคิดที่ยากลำบาก อารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ และความรู้สึกที่ไม่สะดวกสบาย เมื่อไหร่ก็ตามที่เราตัดสินใจ เรากำลังอยู่บนความเสี่ยง เป้าหมายคือการจัดการกับความเสี่ยงให้ดีขึ้น ตามปกติเทรดเดอร์มือใหม่ส่วนใหญ่จะพิจารณาเรื่องการบริหารความเสี่ยงที่มาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างมากต่อการบริหารความเสี่ยงในการเทรดคือ ความเสี่ยงที่มาจากตัวเราเอง

วิธีการในการจัดการความเสี่ยงเกี่ยวกับอารมณ์ของเรา อาจจะทำได้ด้วยการฝึกการตระหนักรู้ถึงอารมณ์และความคิดของตัวเอง ทักษะนี้ต้องได้รับการฝึกฝนมาถึงจะสามารถนำมาใช้ได้ดี อาจจะเป็นการสังเกตผ่านร่างกายตัวเอง เช่น ขาชา ปวดท้อง รู้สึกวาบหวิวไปทั่วร่างกาย โดยเราต้องลองสังเกตว่าการที่ร่างกายตอบสนองแบบนั้น อารมณ์ของเราเป็นอย่างไร หรือเราอาจจะจัดการกับอารมณ์ของเราด้วยการฝึกนั่งสมาธิอยู่ตลอด ซึ่งถ้าเราทำมันได้ต่อเนื่องเราจะเป็นคนที่สามารถจัดการอารมณ์ของเราได้ดีและนำมันมาใช้เป็นพลังในเชิงบวกได้ นอกจากนั้น เราอาจจะเลือกใช้วิธีการปล่อยอารมณ์ของเราออกมาด้วยการเขียนสิ่งที่เราคิดออกมาบนกระดาษที่ว่างเปล่าเพื่อให้เราได้ทำการระบายสิ่งที่ตัวเองคิดและรู้สึกออกมาบ้าง หรือถ้าเรามีคนที่อยู่รอบตัวที่เข้าใจเราอาจจะใช้ทางเลือกในการพูดคุยเพื่อระบายสิ่งที่เราคิดกับคนรอบตัวก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่แพ้กัน อนึ่ง เราอาจจะจัดตารางการออกกำลังกายมาช่วยในการบริหารจัดการอารมณ์ของเราก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีมากเหมือนกัน

มนุษย์เราทุกคนล้วนเป็นต้นเหตุของปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต สำหรับการเทรดก็เช่นกัน อารมณ์เป็นหนึ่งในต้นเหตุของปัญหาและความผิดพลาดต่าง ๆ ในการเทรด อารมณ์นั้นมีความหลากหลาย ซับซ้อนและแตกต่างกันออกไปในมนุษย์แต่ละคน ให้คุณลองใช้เวลาพิจารณาประโยคนี้ดูว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร "ตลาดเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเรา" จากประโยคดังกล่าว อาจตีความได้ว่า ตัวเรานั้นแท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไร ให้ลองมาอยู่ในตลาด เพราะอารมณ์ของเราที่ไม่เคยถูกเปิดเผยออกมา มันจะสะท้อนออกมาในเวลาที่เราตัดสินใจเทรดในตลาด ไม่ว่าจะเป็นความมั่นใจ ความโลภ ความกลัว ความโกรธ อะไรก็ตามที่เราพอจะคิดออกเกี่ยวกับอารมณ์ ซึ่งอารมณ์นั่นแหละคือต้นเหตุของความเสี่ยงที่สูงที่สุดในการเทรดและมันเกิดขึ้นจากตัวเราเอง

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราตัดสินใจว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงให้ตนเองเป็นเทรดเดอร์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เมื่อนั้นควรหาทางป้องกันความเสี่ยงจากตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เราทำอะไรไปตามสัญชาตญาณอีก (หรือทำตาม สัญชาตญาณให้น้อยลง)

หนึ่งในวิธีการที่เราปรับใช้กับตนเองก็คือ การให้คะแนนตัวเองในวันนั้นๆ เพื่อวัดผลจากการกระทำ โดยกำหนดให้ชัดเจนว่า ถ้าทำสิ่งนี้ จะได้คะแนนเท่าไหร่ ซึ่งพฤติกรรมที่ทำให้เราได้คะแนนนั้นเป็นพื้นฐานของการเป็นเทรดเดอร์ที่ดีในอนาคต โดยมีเงื่อนไขการให้คะแนนตัวเอง ดังนี้ :

1. ถ้าวางแผนก่อนเทรดทุกไม้ได้ 2 คะแนน (แต่ถ้าไม่วางแผนแล้วเข้าไปเทรด -2 คะแนน)
2. ถ้า Update ตลาด ภาคเช้า,ภาคบ่าย และภาคค่ำ ถ้าครบทั้ง 3 ภาครับไป 3 คะแนน
3. บันทึกสภาพจิตใจก่อนนอนทุกวัน 1 คะแนน
4. นั่งสมาธิตอนเช้า (5 นาที) 1 คะแนน
5. นั่งสมาธิก่อนนอน (10 นาที) 1 คะแนน
6. Backtest หรืออ่านหนังสือหาความรู้หรือข้อมูลใหม่ๆ จนได้ข้อมูลเพิ่มเติม 1 คะแนน
7. ออกกำลังกาย 30 นาทีขึ้นไป 2 คะแนน

คะแนนทั้งหมดจะเป็น 11/10 วางให้เกินไว้ก่อน เพราะหลักๆ เราอยากให้ตนเองได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ที่ทำไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายจนเกินไป

(อย่างที่ได้กล่าวไปในช่วงต้นของบทความว่า เรามักจะมี ‘วูบหนึ่ง’ หรือการตัดสินใจตามสัญชาตญาณเกิดขึ้นมาเสมอ การป้องกันความเสี่ยงจากตนเอง จึงนำเรื่องของการทำสมาธิเพื่อเจริญสติเข้ามาประยุกต์ใช้ด้วยเช่นกัน )

ก่อนจะวัดผลระยะกลางในระยะเวลา 3 เดือน คิดคะแนนกับตัวเองที่ 70% หากได้มากกว่าหรือเท่ากับ เกณฑ์เหล่านี้ จะได้รางวัลที่เราตั้งไว้เพื่อเป็นแรงจูงใจที่จะทำสิ่งเหล่านั้นตั้งแต่ตอนแรก

‘อาจไม่เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ เพราะพฤติกรรมเหล่านี้ต้องฝึกและอาศัยเวลาในระยะยาว แต่อย่างน้อยเราก็ได้ชนะตัวเองตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจว่า จะทำอะไรแล้วไม่ทำอะไร ด้วยใจลึกๆที่คาดหวังให้ตัวเราดีขึ้น’
💜

04/01/2025

เทรดขาดทุนต่อเนื่อง เทรดต่อไปไม่ไหว สูญเสียความมั่นใจ
เชื่อว่าหลายคน คงเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย และมันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นถ้าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่เราสามารถทําเงินได้อย่างต่อเนื่อง หรือหลัง
จากการชนะครั้งใหญ่ของเรา เพราะการตกลงมาจากที่สูงมันก็ต้องเจ็บมากกว่าการ หกล้มธรรมดาอยู่แล้ว และไม่ว่าการตกจากที่สูงหรือการหกล้ม มันก็ทําให้เรารู้สึกเจ็บ ปวดอยู่ดี

คําถามที่น่าสนใจคือ หลังจากความผิดพลาดที่ได้เกิดขึ้นแล้ว เราได้เคยมาทบทวนกับตัวเองหรือไม่ว่าอะไรเป็นต้นเหตุของปัญหาเหล่านั้น?

หนึ่งในสาเหตุที่สําคัญ คือ “ความมั่นใจในการเทรด” ความมั่นใจเป็นปัจจัย หนึ่งที่จะทําให้เราเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ แต่เวลาที่เราชนะต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นในตัวเราคือ การเกิดความมั่นใจที่พุ่งสูงขึ้นจนมันมากเกินไป สภาวะเช่นนี้มันทําให้เรา เกิดพฤติกรรมการเทรดที่แปลกออกไปจากเดิม เช่น การเปิดสถานะการเทรดที่มาก เกินไป / การเปิดสถานะ Long หรือ Short โดยไม่ทําตามระบบหรือไม่มีระบบเพราะ คิดว่าความคิดของตัวเองจะถูกต้องเสมอ ฯลฯ

สาเหตุต่อมาคือ “การไม่จริงจังกับการเทรด” พฤติกรรมแบบนี้เป็นต้นเหตุ ของหลายๆ สาเหตุที่ทําให้ Mindset พัง เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่จริงจังทั้งในการ คิดและลงมือทํา เมื่อนั้นเราจะปล่อยปะละเลยได้ง่าย จากที่เราควรวางแผนก่อนเข้าไปเทรด กลับกลายเป็นไม่วางแผน เมื่อไม่มีแผนให้ทําตาม เรามักจะเทรดตาม "อารมณ์" เมื่อผลลัพธ์ออกมาเราก็ไม่ได้ทบทวนต่อว่า ที่เราได้-เสียไปนั้น เป็นเพราะอะไร และสามารถทําซ้ําได้อีกไหม หากได้ ต้องมีกระบวนการอย่างไรบ้างที่สําคัญ การไม่จริงจังกับการเทรดยังส่งผลให้เราไม่ตัดสินใจที่จะทําอะไรให้ดีขึ้นอีกด้วย

“การไม่ตัดสินใจที่จะทําอะไรให้ดีขึ้น” นั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทําให้เราอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เพราะในมุมของเทรดเดอร์ปัญหาที่เรามักจะเจอก็จะเป็นเรื่องเดิมๆ บทเรียนเดิมๆ ให้เราได้เรียนรู้ ปรับปรุง และแก้ไข แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ได้ตั้งเป้า หมายว่าจะทําให้ดีขึ้น เราก็จะวนมาเจอกับปัญหาเหล่านั้นเหมือนเดิม

พฤติกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวมามันทําให้เรามีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเกิดการขาดทุนหนักในครั้งเดียวหรือขาดทุนอย่างต่อเนื่องในหลายครั้งจนพอร์ตเราพังและจิตใจของเราพัง ความเชื่อและความมั่นใจที่เราเคยมีสูญเสียออกไปหมดจนเราไม่สามารถเทรดให้ดีได้อีกต่อไป เทรดเดอร์ทุกคนต้องผ่านสภาวะเช่นนี้ไปให้ได้ เพราะมันเป็นหนึ่งในบททดสอบในอาชีพของเรา คําถามสําคัญที่เราต้องถามคือ "เรา" จะมีวิธีในการจัดการกับมันอย่างไร?

หนึ่งในวิธีการจัดการกับช่วงเวลาดังกล่าวคือ การยอมรับตัวเอง ยอมรับว่า "ตัวเรา" คือต้นเหตุของผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการนําไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่าง ตรงจุด วิเคราะห์ว่าพฤติกรรมที่เราได้ทําลงไปมันมีสาเหตุมาจากอะไร เรามักจะเรียก การกระทําแบบนี้ว่า “Search for Meaning” คือ ความกล้าที่จะทบทวนตัวเอง ทั้งตั้ง คําถามทบทวนตัวเองเกี่ยวกับข้อผิดพลาดในอดีตหรือหาจุดอ่อนของตนเอง การทําแบบนี้จะทําให้เราพัฒนาตนเองได้อย่างตรงจุดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเดิมขึ้นอีก (หรือ ลดโอกาสในการเกิดให้ได้น้อยที่สุด) และสิ่งหนึ่งที่สําคัญคือเราต้อง "หยุดเทรด" แล้วเอาตัวเราออกมาจากเกมนี้สักพัก เหตุผลที่เราต้องเลิกเอาตัวไปอยู่กับมัน เพราะเราจะได้มองตัวเองจากมุมภายนอกให้เราเห็นปัญหาของตัวเองอย่างแท้จริง

เมื่อเรายอมรับมันได้แล้ว จากที่เคยโฟกัสแต่ตลาดก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นการ พัฒนาตัวเราเอง ไม่ว่าจะเป็นนั่งคิดทบทวนตัวเอง / อ่านหนังสือ / ทําการทดลองระบบ / ศึกษางานวิจัย หรือทําสิ่งต่าง ๆ ที่โฟกัสถึงกระบวนการในการเทรด เมื่อระยะเวลาผ่านไป ร่างกาย และจิตใจของเราจะฟื้นฟูกลับมาให้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะ เทรดได้เหมือนเดิม หรือที่เรามักจะเรียกกันว่า

“Resilience Mindset”
(ความสามารถ ในการพาตัวเองกลับสู่สภาวะเดิมด้วยความสามารถในการปรับตัว)

เมื่อเรามี Resilience Mindset ที่เป็นทักษะที่เสมือนเกราะป้องกันความเครียด จากการเทรดแล้วนั้น การเติบโตของเราในเวลาต่อมาก็จะมีความสุขมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ในขณะเดียวกันถ้าเราไม่เลือกที่จะยอมรับและจัดการกับตัวเราในตอนที่อยู่ในสภาวะดังกล่าว พอร์ตของเรามีความเสี่ยงมากที่จะพังมากไปกว่าเดิม หรืออย่างแย่ ที่สุดเราอาจจะแพ้จนออกจากเกมส์ไปเลย อย่างที่พี่โอห์มเคยกล่าวไว้ว่า

"คนที่ขับรถพังๆ เขายังรู้ตัวว่ารถของเขานั้นพัง แต่ในเรื่องของการเทรด เราอาจไม่รู้ตัวเลยว่าเรา กําลังเทรดด้วย Mindset ที่พังอยู่ การปล่อยให้ตนเองทําพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อไป สุดท้ายแล้วเราจะได้กลับมาเจอกับความเจ็บปวดจากบทเรียนเหล่านั้น จนกว่าเราจะได้เรียนรู้อย่างถ่องแท้นั่นเอง"

ดังนั้น สิ่งสําคัญที่จะช่วยให้เราสามารถฟื้นตัวจาก Mindset ที่พังได้นั้น เรา จะต้องรู้เท่าทันอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของตนเองว่า ตอนนี้เรามั่นใจในการเทรดมากไปไหม หรือเราจริงจังกับการเทรดมากแค่ไหนทั้งตอนวางแผนและตอนลงมือทํา

เรายังทําอย่างเต็มที่ไหม?
เรายังรีวิวการเทรดไหม?
และแก้ไขข้อผิดพลาดของเราอยู่เสมอหรือเปล่า?

หากวันนี้เมื่อสํารวจตัวเองดูแล้วยังพบว่าเรายังมีข้อบกพร่อง มีสิ่งที่ต้องพัฒนา เราลองหยุดซ่อมตัวเองก่อน ลองเข้าอู่หาสาเหตุที่พัง หาอะไหล่มาเปลี่ยน เพื่อให้เรากลับมาเป็นรถที่มีสภาพดีพร้อมจะวิ่งไปในระยะทางที่ไกลขึ้นกว่าเดิม

💜

01/01/2025

How to อยู่รอดในตลาด Futures | The Road to Professional Trader

ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนครับ 💜

เราล้วนแต่เป็นทั้งตัวร้ายและฮีโร่ในคนคนเดียวกัน 💜
30/12/2024

เราล้วนแต่เป็นทั้งตัวร้ายและฮีโร่ในคนคนเดียวกัน 💜

28/12/2024

เมื่อพูดถึงเรื่องของ ‘Timing” เราคงเคยได้ยินหัวข้อเกี่ยวกับ Market Timing และ Timing of your life ที่มีจุดร่วมเหมือนกันในเรื่องของ “จังหวะ” ซึ่งในบทความนี้ จะพูดถึง 2 จังหวะที่เรามักจะเจอจากการเป็นเทรดเดอร์

1. Market Timing
Market Timing เป็นการจับจังหวะของตลาดให้ออก และตัดสินใจเทรดใน ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับกลยุทธ์นั้น เช่น ราคาทองคําชอบขึ้นในช่วงตรุษจีน เลยตัดสิน ใจจะเทรดทองด้าน Long ในเวลาที่เหมาะสม

เครื่องมือที่ใช้ในการจับจังหวะตลาดเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนที่ของราคาใน อนาคต เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ข้อมูลตลาด รวมถึงการวิเคราะห์ ปัจจัยพื้นฐาน น้อยคนนักที่จะจับจังหวะของตลาดออก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยากต้องอาศัย เวลาในการฝึกฝนและประสบการณ์ส่วนตัว เพื่อเรียนรู้และเข้าใจอารมณ์ของตลาด

โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนที่เข้ามาเก็งกําไรในตลาดจะใช้ราคาเป็นพื้นฐานอย่าง เดียวในการตัดสินใจ และเครื่องมือที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่มักจะคิดมาจากราคาปิด (Closing Price) ของสินค้านั้น ๆ ในแต่ละแท่งของกราฟราคา ซึ่งความจริงแล้วเวลา เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สําคัญในการเทรด ในทุกวินาทีที่ราคาเคลื่อนที่เวลาจะเข้ามาเป็น ส่วนประกอบของแท่งราคาด้วย การที่ราคาเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงอยู่ในกรอบหรือสร้าง พฤติกรรมราคาในรูปแบบแพทเทิร์นจะมีเวลาเป็นปัจจัยหนึ่งในสมการเสมอ

เช่น ในบางครั้งที่ราคาของสินค้าสะสมอยู่ในกรอบหรือตลาดอยู่ในรูปแบบ ของการออกข้าง (Sideway) เวลาจะเป็นเหมือนเชื้อเพลิงหรือพลังงานที่ในวันใดวัน หนึ่งที่ความเห็นของคนส่วนใหญ่มองไปในทางหนึ่งแล้ว ราคาก็สามารถเคลื่อนที่ไปใน ทางนั้นได้อย่างรุนแรง หรือสําหรับผู้ที่บริหารเงินก้อนใหญ่ เวลาก็เป็นปัจจัยสําคัญที่ เอามาพิจารณาในการบริหารความเสี่ยงของพวกเขาได้ ยกตัวเองให้เห็นภาพอย่าง ง่าย ถ้าเรามีแผนที่จะตัดสินใจที่จะเข้าเทรด แต่ในอีกสองวันข้างหน้ากําลังจะมี ประกาศดอกเบี้ยของสหรัฐซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญสําหรับช่วงตลาดดอกเบี้ยขาขึ้นซึ่งมีผลต่อภาพเศรษฐกิจมหภาค เราอาจจะนําเวลามาเป็นส่วนหนึ่งของแผนเราในการ ตัดสินใจที่จะรอให้ถึงวันนั้นก่อน เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตเรา เป็นต้น

ต่อมาถ้าพูดถึงเรื่องของ Market Cycle พฤติกรรมราคาของสินค้าต่างๆ จะ แตกต่างกันออกไป บางสินค้าอยู่ในช่วงเก็บของ (Accumulation Phase) บางสินค้า กําลังเป็นเทรนด์ขาขึ้น (Mark Up Phase) หรือบางสินค้ากําลังเป็นเทรนด์ขาลง (Mark Down Phase) ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการไหลออกของเงินเพื่อสลับไปเทรดในสินค้า อื่นๆแทน

และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพจากการเทรดมากที่สุด จากการอธิบายด้านบน ทําให้เห็นว่า Market Cycle กับระบบเทรดที่เราใช้ (Trade System) ควร Matching กัน เพราะหนึ่งในสาเหตุของผลลัพธ์ที่ออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควรนั้นเกิดจากการเลือกใช้ กลยุทธ์หรือระบบเทรดที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะตลาด เช่น ตลาดกําลังอยู่ในช่วงเก็บ ของ แต่เราใช้ระบบเทรดที่ทดสอบและทําได้ดีในช่วงที่ตลาดเป็นเทรนด์ ทําให้ไปฝืน หรือเอาเงินไปไว้ในสินค้าที่ยังไม่พร้อมเกิดระยะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทําให้เราเสียโอกาส หรือ แม้แต่ช่วงที่ตลาดเป็นเทรนด์ขาขึ้น เรากลับไปใช้ระบบเทรดที่ผ่านการทดสอบมาจาก ตลาด Sideway จนทําให้เกิด Consecutive Loss หรือการขาดทุนที่ทําให้พอร์ตเสียหายหนัก

“ตลาดมีจังหวะและช่วงเวลาของตัวเอง
ระบบเทรดก็มีจังหวะและช่วงเวลาที่เหมาะสมของตัวเองด้วยเช่นกัน”

ทั้งนี้ตลาดเปรียบเสมือนการเดินทาง บางคนเลือกที่จะ "ซื้อแล้วถือไว้" (Buy and Hold) บางคนเลือกที่จะ "จับจังหวะตลาด" (Market Timing) ซึ่งการคาดการณ์ ทิศทางของตลาดเป็นสิ่งที่ยากมาก ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้แม่นยํา 100% แต่ เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าเราสามารถจับจังหวะในเรื่อง Market Timing ผลตอบแทนจะ เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสําคัญ

ตัวอย่าง ในปี 2564 ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนี SET เพิ่มขึ้นจาก 1,300 จุด เป็น 1,700 จุด เทรดเดอร์ที่วิเคราะห์ Market Timing โดยซื้อ หุ้นเมื่อดัชนี SET อยู่ที่ 1,300 จุด และขายเมื่อดัชนี SET อยู่ที่ 1,700 จุด จะได้ผล ตอบแทนที่ดีกว่าคนที่ซื้อแล้วถือไว้ สุดท้ายแล้ว SET ก็ยังอยู่ที่ 1,300 จุด ถ้าเราใช้ กลยุทธ์ "ซื้อแล้วถือไว้" ผลตอบแทนแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย

2.Timing of your life
บ่อยครั้งเรามักจะพลาดจังหวะดีๆที่ผ่านเข้ามา คนที่ประสบความสําเร็จ จํานวนมากจะให้ความสําคัญกับ “Timing” พวกเขาจะไม่ได้คิดแค่ว่า จะพูดหรือทํา อะไรเท่านั้นแต่รวมไปถึงจะต้องทํา หรือพูดสิ่งนั้นเมื่อไรด้วย การที่หลายคนตั้งหน้าตั้ง ตาทํางานอย่างหนักตลอดเวลา แม้กระทั่งช่วงวันหยุด การตั้งหน้าตั้งตาทําสิ่งใดโดยไม่มีการพักผ่อนอาจไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป
เช่นเดียวกับที่เราเห็นคนอื่นกําลังเทรดได้ดี แม้ตลาดจะไม่เป็นเทรนด์ หรือ เขาสามารถทําได้ดีในจังหวะที่เรามองไม่ออก หรือแม้แต่คนที่เข้ามาพร้อมกัน และถือ Position มาฝั่งเดียวกัน คนหนึ่งสามารถเปลี่ยนชีวิตได้จากการเทรดครั้งนั้น ในขณะที่ กําไรของอีกคนไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสําคัญกับพอร์ตของเขาเลย เรื่องนี้ทําให้เราเห็น ภาพของ ‘จังหวะชีวิต” (Timing of your life) ที่ไม่ว่าเราพยายามไขว่คว้าสิ่งเหล่านั้น มามากแค่ไหน หากไม่ใช่จังหวะของเราก็ย่อมไม่ได้สิ่งนั้นมาเช่นกัน

ดังนั้น หน้าที่ของเรา คือ พยายามทําตนเองให้เหมาะสมที่จะได้รับโอกาสจาก จังหวะเปลี่ยนชีวิตเหล่านั้น แม้ระหว่างทางจะมีคนที่เติบโตไปมากกว่า เร็วกว่า นั่นคือ ฤดูที่ผลิบานของเขา ซึ่งเราก็มีฤดูที่ผลิบานของตนเองเช่นกัน

ดอกไม้แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของมันเอง
ตอนนี้อาจยังไม่ถึงช่วงเวลาของคุณ
อาจสายไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่น
แต่ถ้าฤดูนั้นมาถึง คุณจะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น

-Kim Rando-

💜

Simone Biles เจ้าของ 7 เหรียญทอง โอลิมปิก และ 23 เหรียญทอง ยิมนาสติกชิงแชมป์โลก💜
24/12/2024

Simone Biles เจ้าของ 7 เหรียญทอง โอลิมปิก และ 23 เหรียญทอง ยิมนาสติกชิงแชมป์โลก

💜

21/12/2024

เทรดเดอร์เป็นอาชีพที่ต้องเจอกับความผิดพลาดและการสูญเสียอยู่เสมอ เพราะในมุมของเทรดเดอร์นั้นมีทั้งจังหวะและโอกาสที่ทําให้ต้องตัดสินใจอยู่ตลอด ซึ่งเราไม่สามารถตัดสินใจถูก ชนะได้ทุกครั้ง ทําให้เห็นว่า “ความสูญเสียจากการ เทรดเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญ”

แต่บ่อยครั้งที่เราไปยึดติดอยู่กับความผิดพลาด จนอาจ ทําให้ไม่กล้าตัดสินใจในครั้งถัดไป หรืออย่างร้ายที่สุดคือการไม่ตัดขาดทุนตาม แผนการ จนปล่อยให้การขาดทุนครั้งนั้นๆมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นโดยที่ไม่ได้ดีลกับความ เสี่ยงเหล่านั้นไว้ตั้งแต่แรก

โดยปกติเมื่อเจอกับความสูญเสีย เรามักจะเกิดภาวะช็อก ปฏิเสธความจริงที่ เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า แล้วพอใจเราเริ่มยอมรับได้บ้างแล้ว เราจะขอความคิดเห็นต่างๆ จากคนอื่น เพื่อให้ใจรู้สึกได้ว่ายังพอมีอะไรที่สามารถควบคุมได้บ้าง ทําให้เกิดความ รู้สึกปลอดภัยภายในใจ ในระหว่างนั้นเราก็อาจจะมีอารมณ์เศร้าเสียใจเกิดขึ้น แล้วใน ขั้นสุดท้ายเราก็จะเข้าใจได้ว่าการสูญเสียเป็นหนึ่งสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

สิ่งที่เราต้องทําคือพิจารณาไตร่ตรองถึงสาเหตุ วิธีแก้ไข เพื่อให้เราลดการสูญ เสียจากเรื่องเดิมๆ และสามารถรับมือกับความสูญเสียที่มีโอกาสที่จะเกิดในภายภาค หน้าได้ดีขึ้น เพราะทุกครั้งที่เราขาดทุนไม่ว่าจะเป็นเงินต้นหรือขาดทุนกําไร เราไม่ได้สูญเสียเฉพาะแค่ตัวเงินอย่างเดียว แต่มันยังสามารถกระทบไปสู่ร่างกายและจิตใจอีกด้วย

สังเกตได้ว่า หากเรามีความเครียดจากการสูญเสีย ร่างกายของเราจะไม่เป็น ปกติจนส่งผลต่อการเทรด เช่น วิงเวียนศีรษะ แน่นหน้าอก หรืออาเจียน ทําให้เห็นว่า ร่างกายก็เป็นส่วนที่เราต้องให้ความสําคัญเหมือนกัน อย่างในช่วงที่เราเจอ Consecutive Loss จากการเทรด พี่โอห์มได้บอกเราว่า

“เราต้องทําร่างกายของเราให้ แข็งแรงก่อน ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง จิตใจเราก็จะพังไปด้วย แต่ถ้าร่างกายแข็งแรง พี่ เชื่อว่าการเทรดของเราจะดีขึ้น เพราะเราจะตัดสินใจได้ดีขึ้นเมื่อเราแข็งแรง”

เราควร หมั่นดูแลร่างกายของเราให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่ดี ออกกําลังกายอย่าง สม่ําเสมอ รวมถึงพักผ่อนให้เพียงพอ

ในส่วนของจิตใจเมื่อเราเจอความสูญเสีย เป็นปกติที่เราจะรู้สึกแย่ แต่หากเรา มีการวางแผนไว้ก่อนแล้วการสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นการที่เราดีลกับความเสี่ยง (Loss ที่เป็นไปได้) ของเราไปแล้ว ทําให้เมื่อมีความสูญเสียเกิดขึ้น เราจะเข้าใจและ ยอมรับกับความสูญเสียได้เร็ว

นอกจากนี้สิ่งที่จะช่วยเราในยามที่จิตใจย่ําแย่ได้คือการ อยู่กับตนเอง คิดทบทวน เสพสิ่งดีๆ ไม่ว่าจะ Podcast หรือรายการที่มีประโยชน์ หรือ แม้แต่การนั่งสมาธิก็จะช่วยให้เรามีจิตใจที่มั่นคง สิ่งเหล่านี้จะสามารถช่วยให้เรา กลับมาอยู่ในสภาวะปกติได้เร็วขึ้น

แต่หากว่าเราไม่สามารถจัดการกับอารมณ์เมื่อเกิด ความสูญเสียได้ด้วยตนเอง เราสามารถขอความช่วยเหลือจากครอบครัว เพื่อน หรือผู้ ที่มีประสบการณ์ เพื่อที่จะได้พูดคุยและหาทางจัดการกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น

การสูญเสียหรือขาดทุนในอาชีพเทรดเดอร์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่สิ่งที่น่า กลัวคือเราไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการสูญเสียนั้นเลยต่างหาก การยอมรับและก้าว ข้ามผ่านการสูญเสียนั้นไปได้จึงเป็นสิ่งที่สําคัญของเทรดเดอร์และยิ่งทําให้มีโอกาส ประสบความสําเร็จในอาชีพเทรดเดอร์มากขึ้น

จากที่กล่าวมาทั้งหมด การสูญเสียเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ควรมองว่ามันเป็นส่วน
หนึ่งของเกมส์และค้นหาแนวทางในการจัดการกับมันให้ได้ เพราะในระยะยาว เทรดเดอร์ที่สามารถจัดการกับช่วงที่ตัวเองเจอกับการสูญเสียได้ดี ย่อมมีโอกาสที่ พอร์ตจะเติบโตได้ดีมากกว่าคนที่จัดการกับเรื่องนี้ไม่ได้ดีเท่า

ดังนั้น เราจึงไม่ควรมอง ข้ามการพัฒนาตัวเองในเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เพื่อที่เราจะได้เป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสําเร็จอย่างที่เราต้องการ

💜

อดีตทำร้ายเราได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะหนีหรือจะสู้กับมันThe Lion King 💜
17/12/2024

อดีตทำร้ายเราได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะหนีหรือจะสู้กับมัน
The Lion King 💜

เรามีความสุขเมื่อได้กำหนดทิศทางของชีวิตตนเองสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั้นจะเข้ามากระทบต่อความรู้สึก ซึ่งจะมีทั...
14/12/2024

เรามีความสุขเมื่อได้กำหนดทิศทางของชีวิตตนเอง

สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั้นจะเข้ามากระทบต่อความรู้สึก ซึ่งจะมีทั้งที่ดีและไม่ดี มีทั้งสิ่งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่เราจะรู้สึกเป็นทุกข์เมื่อต้องพบเจอกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ในทางกลับกันเราจะรู้สึกเป็นสุขเมื่อเจอสิ่งที่เราควบคุมได้

จริงอยู่ที่การควบคุมตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องทนอยู่กับความยาก แต่เมื่อเราผ่านช่วงเวลาที่ยากเหล่านั้นไปได้ จะเกิดเป็นความเชี่ยวชาญในการทำสิ่งนั้นๆ ซึ่งความเชี่ยวชาญนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี เพราะได้มีส่วนร่วมในการกำหนดเนื้อหาชีวิตของเราเอง รวมถึงได้สร้างพื้นที่ที่เป็นของเราเองด้วยเช่นกัน (ถ้าเราเข้าใจสิ่งนี้ มันคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับความสุขที่สุด)

เราเรียกสภาวะเหล่านี้ว่า ‘Flow’ (ภาวะไหลลื่น ) คือ การที่เราเพลิดเพลินกับสิ่งหนึ่งอยู่โดยที่เราสามารถตัดสิ่งอื่นๆออกไปได้หมดเลย

การควบคุมชีวิตภายใน

จิตที่มีระเบียบจะนำไปสู่ชีวิตที่ดี : แต่ละวันเราได้รับเรื่องราวและประสบการณ์มากมาย คำถามที่น่าสนใจคือ เราได้คัดเลือกประสบการณ์ที่เข้ามาไหม? หรือไหลไปตามเรื่องที่ต้องเจอ? ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกว่า ถ้าเราปล่อยให้ทุกเรื่องเข้ามาแสดงว่าเราควบคุมอะไรในชีวิตไม่ได้เลย

📌‘ถ้าเรากำหนดหรือควบคุมพลังงานของจิตใจเราได้มากเท่าไหร่

เรายิ่งมีโอกาสที่จะควบคุมชีวิตตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้น
แต่สิ่งที่ว่ายากมันอยู่ที่ว่า ‘เราสามารถค้านโปรแกรมของร่างกายได้มากแค่ไหน’ เราต้องเรียนรู้ที่จะเป็นอิสระจากร่างกาย และเรียนรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในจิตใจ เพราะบ่อยครั้งที่เราใช้ชีวิตด้วยการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก

📌 แม้ชีวิตจะมีเรื่องมากมายเข้ามา แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ‘จิตของเรารับรู้แบบไหน’

เมื่อไหร่กับตามที่จิตของเรารับรู้ แสดงว่า สิ่งนั้นเป็นประสบการณ์ เพราะชีวิตของเราไม่ได้ขึ้นกับว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง แต่ขึ้นอยู่กับเราจดจ่อกับประสบการณ์อะไรบ้าง ดังนั้น การที่เราจะจัดให้จิตมีระเบียบและเรียบร้อยนั้นมันขึ้นอยู่กับเจตจำนงที่ว่า ‘เราต้องการสิ่งใด’ และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนเราแตกต่างกัน

คนที่รู้ว่าต้องทำอะไร เขาจะรู้ว่าต้องตัดอะไร และให้ความสำคัญกับอะไร แต่คนที่ไม่รู้นั้นเหมือนกับคนที่ยอมให้ประสบการณ์ต่างๆผ่านเข้ามากระทบกับจิตใจทำให้เรารู้สึก และผ่านออกไป เกิดเป็นการรับทุกประสบการณ์ ซึ่งเราเรียกคนเหล่านี้ว่า ‘คนที่พลังจิตอ่อนแอ’ เพราะทุกอย่างสามารถเข้ามาดึงความสนใจไปจากเราได้หมดเลย

ถ้าเราไม่กรองข้อมูลสุดท้ายแล้วเราจะกลายเป็นเหยื่อของข้อมูล และสภาวะจิตใจของเราจะขึ้นอยู่กับคนอื่นหรือสภาพแวดล้อมว่าจะโยนอะไรเข้ามา ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกเอง

ถ้าเรากรองอะไรเข้าใส่ประสบการณ์ของเรา —> ความทรงจำ —> ความจริง —> ชีวิตของเรา

พลังงานของจิตเกิดจาก การที่เราโฟกัสไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเริ่มที่จะเคยชินกับอะไรบางอย่าง เราจะเห็นสิ่งนั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งนั้นจะเชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่คล้ายกันในอดีต ซึ่งมันขึ้นอยู่กับว่า ‘เราสะสมอะไร’ ถ้าสะสมเรื่องไม่ดี มันจะตีความในลักษณะเดิมอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุผลให้เราต้องกรองประสบการณ์ที่เข้ามาในชีวิต

และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มกรองประสบการณ์ที่เข้ามาในชีวิต แสดงว่า เราเริ่มสร้างจิตที่มีพลังมากขึ้นแล้ว รูปร่าง เนื้อหา สาระ ของชีวิตจะขึ้นอยู่กับว่าเรา Focus กับอะไร
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราถูกดึงความสนใจไปมาก มันจะก่อให้เกิดความกังวล ความโกรธ ความกลัว ความหงุดหงิด ความอิจฉาริษยา ถ้าเราให้พื้นที่กับอารมณ์เหล่านี้มากเท่าไหร่ หลังจิตของเราก็จะอ่อนลง ลดทอนความสามารถ และโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้นั้นยากขึ้น

เพราะแบบนี้….คนที่พลังจิตแกร่งกล้ามันจึงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย

ถามตัวเองอยู่เสมอว่า…

ระหว่างที่เราดำเนินชีวิตไปมีอะไรที่เข้ามาคุกคามเป้าหมายของเราอยู่บ้าง?

และมีอะไรที่เข้ามาสนับสนุนเป้าหมายของเรา?

สุดท้าย ‘Flow’ หรือภาวะไหลลื่น นั้นมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า

ระเบียบแบบแผนในจิต…เพราะสภาวะนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจิตใจของเราได้ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระบบ ถ้าเรา Flow ไปถึงช่วงเวลาหนึ่งเราจะรู้สึกว่าเราทำสิ่งนั้นได้ดี และค่อยๆเกิดเป็นการสร้างตัวตนของตนเองขึ้นมา

‘ความจริงคือสิ่งที่เราคิด และประสบการณ์ซ้ำๆจะกลายมาเป็นชีวิตของเรา’

💜

(Source : https://www.youtube.com/live/CQ7cH43TmGc?si=enI2nmg_ULG6nJ-4)

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when THUS posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Videos

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Videos
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Event Planning Service?

Share