THUS

THUS The house of traders

ชั่วโมงบิน Ep.1 (Non-Farm Payrolls 1 Sep 2023)ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Week ที่ผ่านมาตัวเลข Non-Farm ประกาศออกมา 187K ตำแหน่ง ...
06/09/2023

ชั่วโมงบิน Ep.1 (Non-Farm Payrolls 1 Sep 2023)

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Week ที่ผ่านมาตัวเลข Non-Farm ประกาศออกมา 187K ตำแหน่ง ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ แสดงให้เห็นว่ามีแรงงานเข้ามาสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น เหมือนดูเศรษฐกิจเติบโต

ตรงกันข้ามกับ ตัวเลขประกาศอัตราว่างงานกลับสูงขึ้น สู่ระดับ 3.8% และ ค่าเฉลี่ยรายได้รายชั่วโมงก็ปรับตัวลดลงจาก 0.4% มาสู่ระดับ 0.2%

ทำให้ภาพที่มองว่าแรงงานเพิ่มขึ้นดูจะไม่สะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจจริงๆ พอยิ่งกลับไปดูใส้ใน ก็พบว่า แรงงานที่เพิ่มขึ้นกลับเป็นกลุ่มสูงวัย

ดังนั้น ข่าวสำคัญของ Week ที่ผ่านมาสรุปให้เราได้ว่าเราอาจจะเริ่มเห็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจอเมกาสักที และ ส่งผลให้การคาดการณ์ การขึ้นดอกเบี้ยของอเมริกาในช่วงท้ายเดือนกันยายนนี้ ยิ่งลดลงไปอีก และคาดว่าจะมีการคงดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้แทน

📌 Why Traders Care ? : การจ้างงานเป็นปัจจัยที่สำคัญในการแสดงการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นส่วนใหญ่ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม

- THUS -

สงครามยังตึงเครียดอยู่หรือเปล่า ?หากเรามองผ่านหุ้นกลุ่ม Aerospace & Defenseหรือหุ้นอุตสาหกรรมอากาศยานและการป้องกันประเทศ...
28/08/2023

สงครามยังตึงเครียดอยู่หรือเปล่า ?
หากเรามองผ่านหุ้นกลุ่ม Aerospace & Defense
หรือหุ้นอุตสาหกรรมอากาศยานและการป้องกันประเทศ

" Kissinger's Secret Trip to China "

" U.S. said to consider sending long-range missiles to Ukraine "

" The U.S. is planning to provide cluster bombs to Ukraine "

" Pentagon pays for Starlink satellite service in Ukraine "

พาดหัวข่าวเหล่านี้ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน มันทำให้ผมเองก็ได้ฉุกคิดว่าเรื่องสงครามที่เค้าว่า กำลังจะตึงเครียดขึ้น มันมีความจริงมากน้อยแค่ไหน เท่าที่ผมจะดมกลิ่นได้

อะไรคือ สิ่งที่ใช้มากสุดในสงคราม เป็นเครื่องบ่งบอกอำนาจ แม้ไม่ได้ใช้แต่ถ้ามีไว้ก็อาจจะสร้างอำนาจในการต่อรองในความขัดแย้งนี้ได้ ? ก็คงหนีไม่พ้น "อาวุธ ยุทโธปกรณ์"

และสิ่งนี้เองมันดันโชคดีเป็นสินค้า มีการซื้อขาย ละนั้นคือสิ่งที่เราน่าจะพอหากลิ่นได้ ถ้ามีความต้องการอาวุธสูงขึ้น อย่างมีนัยยะสำคัญ มียอดสั่งซื้อมากขึ้น มันก็อาจจะพอ ที่จะอนุมานได้ว่า ความสงบคงไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน

แล้วบริษัทไหนบ้างละ ? ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือผลิตอาวุธเหล่านี้ ถ้าเริ่มง่ายสุดก็คงต้องเริ่มจาก ETF ที่ลงทุนในบริษัทเหล่านี้ ยกมาให้ดู 2 ตัว

- ITA (iShares U.S. Aerospace & Defense ETF) 1Y +10.02%
- PPA (Invesco Aerospace & Defense ETF) 1Y +6.18%

เป็น ETF ที่ลงทุนในอุตสหกรรมกิจการป้องกันประเทศและอวกาศ พอผมเข้าไปดูบริษัทที่ทั้ง 2 ETF นี้เข้าไปถือหุ้น ก็จะพบบริษัทตัวการต่างๆที่เราตามหาผมขอยกตัวอย่าง บริษัทที่ซ้ำๆกัน และเป็น Key Player หลักมาสัก 5 ตัวละกันนะครับ

ทั้ง 2 ETF นี้ถือ ตัวไหนมากสุด คนที่พอจะรู้จักบริษัทขายอาวุธอยู่บ้างก็น่าจะเดาไปทาง " Lockheed Martin Corp " แน่นอน แต่จริงๆแล้ว คือ "Boeing Co" ต่างหาก ที่ทั้ง 2 ETF นี้ถือเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด

งั้นอีก 3 บริษัท ก็คงจะเป็น " RTX Corp, Northrop Grumman Corp , General Electric Co"

ที่นี่เราเริ่มหาตัวการใหญ่ๆ มาได้ 5 บริษัทที่น่าจะมีความเชื่อมโยงกับอาวุธในสงครามต่างๆทั่วโลกได้มากที่สุดแล้ว เราลองเข้าไปดู งบรายได้ยอดขาย และ Backlog ล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับอุตสหกรรมสงครามกัน

มาเริ่มกันที่

1 ."The Boeing Company (BA)" 1Y Performace +36.25% รายได้ในส่วน Defense มี Order Valued $6B Backlog of $58B อ้างอิง Company 2023 Q2 - Results - Earnings Call

2. " Lockheed Martin Corp " 1Y Performace +1.27% รายได้ 16.7B เติบโต 8% YOY ยอดเติบโต อ้างอิง Company 2023 Q2 - Results - Earnings Call

3. " RTX Corp " 1Y Performace -10.89% รายได้ 18.3B เติบโต 13% YOY ยอดเติบโตทุก Segment เลย Backlog 158B อ้างอิง Company 2023 Q2 - Results - Earnings Call

4." Northrop Grumman Corp " 1Y Performace -13.08% รายได้ 9.5B เติบโต 9% YOY ยอดฝั่ง Space และ Defense เติบโตมากกว่า 10% Backlog 78.8B อ้างอิง Company 2023 Q2 - Results - Earnings Call

5. " General Electric Co " 1Y Performace +82.81% รายได้ฝั่ง Ge Aerospace 9.5B เติบโต 37% YOY เติบโตสุดๆไปเลย อ้างอิง Company 2023 Q2 - Results - Earnings Call

จากที่ผมได้พาพวกเราไปดูรายได้และรู้จักบริษัทในกลุ่มนี้คร่าวๆแล้วนั้น ผมพบว่า เรื่องที่พวกเราสันนิษฐานน่าจะพอมีมูลอยู่บ้าง ว่าความตึงเครียดยังคงมีอยู่ต่อไป และทำให้หลายประเทศที่เกี่ยวข้อง ยังต้องมีการเตรียมพร้อม สะสมอาวุธยุทโธปกรณ์กันอย่างต่อเนื่อง

จากยอดขายที่เติบโตอย่างมากในแทบจะทุกบริษัทและ Backlog สัญญาจัดซื้อที่ ยังคงมีต่อเนื่องเลยเห็นความสงบคงไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน

HINT:

ปัจจุบันอากาศยานไร้คนขับ:Unmanned Aerial Vehicles (UAVs) กำลังจะเติบโตอีกมากในสงครามยุคใหม่ Fortune business insight คาดการณ์ มูลค่า Global UAV มีมูลค่า 10.7B ในปี 2019 และคาดว่าจะกลายเป็น 25.13B ในปี 2027 เราเห็นตัวเลขการเติบโตในระดับ 12.3% ต่อปีเลยทีเดียว

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ราคา F-16 จะอยู่ที่ราวๆ $90M แต่ Drone MQ-9 Reaper ราคาอยู่ประมาณ $30M ประสิทธิภาพสูงกว่า พักน้อยกว่า และสูญเสียน้อยกว่า นี่ก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การจัดซื้ออาวุธใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆในสงครามยุคใหม่ ยังคงต้องดำเนินต่อไปละก็จะยังคงสร้างการเติบให้กับอุตสาหกรรมนี้ได้ต่อไปอีก แม้จะไม่มีสงคราม

ดั่งคำพูดที่ว่า " อาวุธมีไว้แสดงอำนาจ ไม่ใช่เพื่อก่อสงคราม " (คำพูดของคนขายอาวุธ 5555)

ปล.ถ้าลงทุนใน PPA หรือ ITA ปีนี้ชนะ US30 SP500 นะจ๊ะ

GT

บ่อยครั้งที่เราเจอกับการขาดทุนต่อเนื่องจากการเทรดหรือที่เรามักจะเรียกกันว่า ‘Consecutive Loss’ แต่อาจไม่เคยตั้งคำถามต่อเ...
12/08/2023

บ่อยครั้งที่เราเจอกับการขาดทุนต่อเนื่องจากการเทรดหรือที่เรามักจะเรียกกันว่า ‘Consecutive Loss’ แต่อาจไม่เคยตั้งคำถามต่อเลยว่า เพราะอะไรเราถึงขาดทุนต่อเนื่อง มันมีเหตุผลอะไรที่มากกว่าแค่เรามองตลาดผิดไปรึเปล่า ? ซึ่งหลายครั้งที่ผ่านมาเราเป็นคนที่เจอกับ Consecutive Loss บ่อยมาก และในทุกๆครั้งที่เจอมักตามมาด้วยการขาดทุนที่หนักหรือล้างพอร์ตเสมอ

จนในครั้งนี้ที่รู้สึกว่า…เราต้องคุยกับตัวเองจริงจังซักทีว่า สาเหตุในการเกิดมันคืออะไรกันแน่ แล้วจะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง ซึ่งจากการจดบันทึกสรุปสาเหตุของการเกิด Consecutive Loss ได้ว่า

- เรามักจะแพ้อารมณ์ตัวเองไม่ยอมรับใน Fact ที่ตลาดให้มา หรือไม่ยอมรับผลลัพธ์ที่เกิด ยังคงดื้อและ Bias ในหน้าเดิมอยู่แบบนั้น เพราะกลัวที่ราคาจะไปอย่างที่คิดไว้แต่ไม่มีเรา

- จุดเปลี่ยนมุมมองไม่ชัดเจน ตอบไม่ได้ว่าราคาต้องทำพฤติกรรมแบบไหนถึงเราจะไม่ Bias ในการเทรดหน้านั้นแล้ว ทำให้แผนการไม่ชัดเจนจนทำให้เกิดการหยวนขึ้น

- จุดเข้าคนละภาพกับจุดออก อย่างการเข้าไปเทรดใน TF เล็ก แต่ออกใน TF ใหญ่

ซึ่งทั้ง 3 ข้อนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Consecutive Loss ที่ไม่ได้เกิดจากระบบเทรด แต่เป็นการแพ้ต่อเนื่องจากตัวเราเอง จึงขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เจอกับ Consecutive Loss เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ดังนี้ :

กลยุทธ์ : Buy on Dip ที่ Trend Line TF H1 (วงกลมสีแดงแรก) ซึ่งจังหวะตลาดในภาพนั้นเองยังคงเป็นเทรนด์ขาขึ้นอยู่ จากการยก High และ Low ต่อเนื่อง ทำให้มองว่ามีโอกาสที่ราคาจะไปต่อในเร็วๆนี้ โดยวาง Stop Loss ไว้ที่ราคา XAUUSD 1940 เพราะมองว่าถ้าหลุด 1940 ภาพในการเทรดจะเปลี่ยน และวาง Position ตัวเองว่าอยากถือยาว อยากเป็นสาย Trend Follow จึงไม่ได้เข้าไป Action อะไรต่อหลังจากที่ Long ไป

แต่แล้วราคาก็วิ่งมาถึง Stop Loss ทำให้ต้องออกไปที่ 1940 แต่ยิ่งราคาลงไปเท่าไหร่ เราก็ยังคงเข้าไป Long อยู่แบบนั้น (ในวงกลมสีแดงต่อๆมา) ทั้งๆที่ระหว่างทางมีสัญญาณมากมายว่า

“มันไม่ได้เป็นอย่างที่เรามองในตอนแรกแล้ว”

ทั้งตอนที่ราคาขึ้นมาทดสอบที่ 1980 อีกครั้ง แต่ไม่ผ่านและทิ้งลงมาเร็ว ทำให้สมมติฐานที่มองว่าจะไปต่อในเร็วๆนี้ลดลงไปมาก และเป็นสัญญาณบอกว่า ‘มันไม่ได้ Bullish ในระยะสั้นแล้ว’ ประกอบกับราคาทำ Lower High และ Lower Low ต่ำลงเรื่อยๆ ซึ่งนั่นคือข้อมูลที่ตลาดให้ แต่เราเองเลือกที่จะไม่สนใจ เพราะยิ่งราคาลงมาเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเปิด Timeframe ใหญ่ปลอบใจตัวเองว่า ‘ราคายังไม่เสียทรง ทำให้ยังไม่เปลี่ยนมุมมอง’

เราฝืนทั้งๆที่ กลยุทธ์ที่เลือกใช้ - จังหวะตลาด - ตัวเราเอง ไม่ Match กันเลย เพราะเรากำลังใช้แนวรับระยะสั้นเข้าไปซื้อ เพื่อคาดหวังให้ราคาขึ้นในภาพที่ใหญ่เกินไป (เกินกว่าสไตล์การเทรดของตัวเอง)

พอได้ปรึกษาเรื่องนี้กับพี่รัฐ (Mentor ของบ้าน THUS) พี่รัฐให้ข้อคิดในเรื่องของ Consecutive Loss ไว้ว่า

- การถือยาวไม่ได้หมายความ Stop Loss ต้องลึก แต่มันก็คนละเรื่องกับการทนแรงเหวี่ยง และถ้า Timing ไม่เหมาะกับการถือยาว ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปถือ

- ให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ตลาดให้ พยายามอ่านตลาดให้ออก เลือกใช้เครื่องมือให้ถูก ที่สำคัญอย่าลืมทบทวนตัวเองและแผนการอยู่เสมอว่าย้อนแย้งกันรึเปล่า ?

- ราคาจะพักตัวจนกว่าจะเลิกพัก หลังจากที่ราคาเกิดเทรนด์ เราสามารถถือยาวได้ แต่ต้องมีเงื่อนไขในการถือด้วย หาให้เจอว่า Deal Breaker หรือจุดที่ห้ามดื้อ (จุดที่ทำให้ภาพเปลี่ยน) ของแผนการเทรดครั้งนี้คือตรงไหน

- จุดเข้าใช้ภาพระยะสั้น จุดออกใช้ภาพระยะยาว คือการที่เราไปเอาภาพของคนที่ทุนดีกว่ามาคลุม เพื่อมาสนับสนุนว่าภาพใหญ่ยังไม่เสียทรง มันทำให้เราเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เพราะการเจอ Consecutive Loss มันมีความหมายในตัวมันเองด้วยว่า ‘ลึกๆแล้วเรากำลังเชื่ออะไรสักอย่างอยู่ จึงอยากให้มันเป็นแบบนั้น’

สุดท้ายความเป็นตัวตนของเราในวันนี้ เรายังอยากเป็นสายรันเทรนด์อยู่เหมือนเดิม แต่จะตั้งใจฝึกให้ตัวเองเทรดได้หลากหลายมากขึ้น อย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป โดยจะไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าจะถือยาวอย่างเดียวเท่านั้น และขอสัญญากับตัวเองและผู้อ่านว่า เราคนนี้จะไม่เจอ Consecutive Loss อย่างเหตุการณ์ในบทความนี้อีกแล้ว…

และขอจบบทความนี้ด้วยประโยคของพี่โอห์มที่ว่า “การจะรันเทรนด์ได้ดี ต้องได้ราคาที่ดีด้วย”

Somkid

"หนังสือที่อ่านมา 1 ปีหลังจากที่เป็นเทรดเดอร์" 📚ก่อนหน้าที่ผมจะมาเป็นเทรดเดอร์ ผมเรียนจบนิติศาสตร์และเป็นทนายความมาก่อน ...
07/08/2023

"หนังสือที่อ่านมา 1 ปีหลังจากที่เป็นเทรดเดอร์" 📚

ก่อนหน้าที่ผมจะมาเป็นเทรดเดอร์ ผมเรียนจบนิติศาสตร์และเป็นทนายความมาก่อน ผมผ่านการอ่านหนังสือกฎหมายมาเป็นจำนวนมาก จนสร้างทักษะติดตัวมาซึ่งถือเป็นข้อดีของผมคือการอ่านเร็วและจับประเด็นได้ดี รวมถึงการที่กลายเป็นคนที่รักการอ่านแบบไม่รู้ตัว

หลังจากผมตัดสินใจมาเป็นเทรดเดอร์แล้ว ผมก็เริ่มพัฒนาตัวเองด้วยการอ่านหนังสือโดยที่ไม่ได้มีเป้าหมายว่าเราต้องอ่านจบเมื่อไหร่ หรืออ่านหนังสือเล่มไหน แต่ให้ความสำคัญไปที่เนื้อหาและอารมณ์ของหนังสือแต่ละเล่ม

วิธีเลือกหนังสือว่าจะอ่านเล่มไหน ผมจะเลือกอ่านเล่มที่เหมาะสมกับตัวเรา ณ เวลานั้น บางเวลาผมอยากได้แรงบันดาลใจ อาจจะเลือกอ่านหนังสือเกี่ยวกับเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ หรือในบางเวลาที่ผมเมาตลาด อยากฟื้นฟูสภาพจิตใจ อาจจะเลือกอ่านเล่มที่ให้สร้างกำลังใจให้เรา หรือถ้าผมอยากได้ความรู้ หรือไอเดีย แนวคิดใหม่ๆ ก็จะเลือกอ่านเล่มที่อธิบายแนวคิด หนังสือเลยเป็นเหมือนเพื่อนของผมในทุกเวลา

วันนี้ผมเลยมาโพสต์แชร์ว่าในหนึ่งปีที่ผ่านมาผมได้อ่านหนังสือเล่มไหนเพื่อบันทึกไว้ว่าในเส้นทางที่ผมก้าวมาหนึ่งปี ผมได้ผ่านอะไรไปบ้าง อยากให้ทุกท่านที่ติดตามเพจ THUS เริ่มลุกขึ้นมาอ่านหนังสือเพื่อพัฒนาตัวเองกันครับ

ขอปิดท้ายด้วยประโยคที่ว่า "1% Better Every Day" ขอแค่เราดีขึ้นวันละหนึ่งเปอร์เซ็นต์จากเมื่อวานแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

Steve

ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “The Winning Investment Habits of Warren Buffett and George Soros” มันทำให้ผมหวนคิดถ...
01/08/2023

ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “The Winning Investment Habits of Warren Buffett and George Soros” มันทำให้ผมหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา วันแรก ๆ ที่ผมตัดสินใจเป็นเทรดเดอร์ ผมมักจะได้ยินคำพูดเหล่านี้อยู่บ่อยๆ “เงินต้นเป็นสิ่งสำคัญ” “รักษาเงินต้นนะ” “รักษากำไรให้ได้นะ” แต่เราก็ไม่เคยเข้าใจมันจริง ๆ เลยว่าคนที่มาพูดในงานสัมมนา หรือคนเขียนหนังสือต้องการจะสื่ออะไรกับเรา
ในช่วงครึ่งปีแรกสำหรับการเป็นเทรดเดอร์ ผมรู้สึกว่าตัวเองพอจะเริ่มทำกำไรได้ และทุกครั้งที่ได้กำไร ผมจะมีอารมณ์ร่วมกับมันเสมอ ผมยอมรับว่าตอนนั้นรู้สึกดีใจและมีความสุขมาก แต่เชื่อไหมว่าอารมณ์ความรู้สึกนั้นมันอยู่กับผมไม่เคยนานเลย บางครั้งมันอยู่กับผมแค่ครึ่งวันเช้าและจบลงด้วยครึ่งวันบ่ายที่แสนจะทุกข์ทรมาน อารมณ์ผมเคลื่อนไหวขึ้น ๆ ลง ๆ สลับกันไปมาตลอดทั้งวัน ทั้งสัปดาห์ หรือทั้งเดือน ช่วงนั้นเวลาที่เจอหน้าพี่โอห์ม พี่โอห์มจะพูดกับผมเสมอว่า รักษาเงินต้นให้ได้
ปัญหาเรื่องการรักษาเงินต้นเป็นปัญหาสำคัญของผม ผมรู้ตัวเองดีว่า ถ้าผมไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ ผมจะไม่สามารถเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จได้เลย
ในช่วงที่เป็นมือใหม่ คนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญไปกับการทำกำไรเป็นที่หนึ่ง เราพยายามทำทุกวิถีทางให้เราสามารถทำกำไรได้ ยกตัวอย่างตัวผมที่เคยเล่นแบบ Day trade มาก่อน ผมพยายามที่จะเร่งรอบในการเทรดของตัวเอง เพราะเชื่อว่าถ้าตัดสินใจในจำนวนที่เยอะ เราจะยิ่งทำกำไรได้มากและพอร์ตเราจะยิ่งเติบโต ทุกจังหวะจึงต้องมีเรา แต่เมื่อมาดูผลสรุปของกำไรขาดทุน พอร์ตผมยังขาดทุนเหมือนเดิม ผมตั้งคำถามกับตัวเองหลายครั้งว่า “ทำไมเราทำกำไรได้ แต่สุดท้ายเราไม่เคยรักษามันไว้ได้เลย” ผมอยากบอกทุกคนที่เป็นมือใหม่ว่า ถ้าเราให้ความสำคัญแต่เฉพาะการทำกำไรเพียงอย่างเดียว วันหนึ่งเราจะเดินมาถึงทางตัน
มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องกลับมาทบทวนตัวเองและต่อสู้กับจิตใจของตัวเอง ผมโชคดีที่ได้โอกาสพูดคุยกับพี่ ๆ เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จหลายคน ผมเริ่มตกผลึกว่าความจริงแล้ว การรักษาเงินต้นหรือกำไรที่ทำได้ มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการทำกำไรเลย สำหรับผมมันเป็นทักษะที่สำคัญมากกว่าการทำกำไรเสียอีก
การรักษาเงินต้นเป็นสิ่งที่อาศัยวินัยและการฝืนตัวเองอย่างมาก ผมฝึกฝนด้วยการฝืนตัวเองไม่ให้เข้าไปเทรดในจำนวนครั้งที่มากเกินไปจากที่ผมเป็นคนที่เสพติดการเทรดจากการ Day trade มาตลอดตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มมาให้ความสำคัญกับคุณภาพของการเทรด ให้ความสำคัญกับการคิดและวางแผนมากยิ่งขึ้น และเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้กำไรจำนวนมากและความมั่นใจสูงขึ้นมากกว่าปกติ ผมจะพยายามควบคุมตัวเองให้หยุดเทรดหรือเทรดด้วยสถานะที่น้อยลงกว่าเดิม ผมเริ่มไม่เป็นคนที่อยากถูกทุกครั้ง อยากได้ทุกครั้ง จากการจดบันทึกการเทรดมันแสดงให้เห็นว่า ถ้าผมไม่หยุดหรือเทรดด้วยสถานะที่น้อยลงตลาดมันจะเอาคืนผมเสมอ และต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่เหมือนเดิม ผมเริ่มเกลียดตัวเองในรูปแบบเดิม ๆ และต้องการเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่
หลังจากที่ผมเริ่มรักษาเงินต้นได้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนคือผลลัพธ์ของมัน พอร์ตของผมเริ่มเติบโตขึ้นทีละนิด อารมณ์และสภาพจิตใจของผมไม่สวิง ขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนก่อนอีกแล้ว และเราจะเป็นผู้อยู่รอดในเกมส์นี้จากการที่เรารักษาเงินต้นของเราไว้ได้ การทำผลตอบแทนแบบทบต้นที่ใฝ่ฝันมันจะเริ่มต้นหลังจากนี้ เราจะเริ่มสนุกกับเกมส์นี้มากขึ้น ลองเล่นอะไรใหม่ ๆ ได้มากขึ้น หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความสม่ำเสมอของเราในการยืนระยะให้ได้
เดือนนี้ก็เข้าสู่เดือนที่สามแล้วที่ผมให้ความสำคัญกับการรักษาเงินต้นมากกว่าการทำกำไร ผมเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ช่วงที่ผ่านมาแล้วผมเทรดในจำนวนครั้งที่น้อยมากและสามารถรักษากำไรของตัวเองไว้ได้ ซึ่งผมมองว่าดีกว่าตัวผมในอดีตที่เราตัดสินใจในจำนวนที่มาก แต่ไม่สามารถทำให้พอร์ตของเรามีกำไรได้เลย มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่จะเริ่มรักษาเงินต้นหรือกำไรให้อยู่กับเรา มันเป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้เราเริ่มเข้าใจเกมส์นี้มากขึ้น ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าทำไมเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับอย่างบัฟเฟตต์และโซรอสถึงต้องพูดว่าเงินต้นเป็นสิ่งสำคัญ
“การขาดทุน แม้เพียงเล็กน้อย นั้นหมายถึงเรากำลังเดินถอยหลัง ดังนั้นต้องรักษาเงินต้นเป็นอันดับแรก” จอร์จ โซรอส
Steve

หลายปีที่ผ่านมาเราต่างใช้เวลาศึกษาเรื่องการเทรดไปมากมาย ทั้งอ่านหนังสือหลายๆเล่ม ลงเรียนคอร์สเพื่อเจอโค้ชและอาจารย์อีกหล...
29/07/2023

หลายปีที่ผ่านมาเราต่างใช้เวลาศึกษาเรื่องการเทรดไปมากมาย ทั้งอ่านหนังสือหลายๆเล่ม ลงเรียนคอร์สเพื่อเจอโค้ชและอาจารย์อีกหลายๆคน แต่ยิ่งศึกษามากเท่าไหร่ กลับพบว่า ‘ผลลัพธ์ไม่ได้ออกมาในรูปแบบของผลตอบแทนเลย’

ยิ่งไม่เห็นผลตอบแทน ยิ่งรู้สึกว่า ‘มีอะไรที่เราต้องรู้อีกเยอะ’ ทำให้วนกลับมาที่เดิมอีกครั้งคือ ศึกษาและหาความรู้กับหนังสือเล่มใหม่ คอร์สเรียนคอร์สใหม่ แต่ก็ยังพบกับปัญหาเดิม ขาดทุนเหมือนเดิม อ่านก็เยอะ ฟังก็เยอะ แต่ทำไมนะ ทำไม… ? ทันทีที่สิ้นเสียงคำถามนี้ก็ได้คำตอบทันทีว่า

‘ อ๋อ…เราคือนักศึกษาที่ดี แต่เราไม่เคยเป็นนักปฏิบัติที่ดีเลย เพราะรู้หมดแต่ไม่ทำตาม เข้าใจทฤษฎีและข้อมูลมากมายแต่กลับไม่เคยเข้าใจตัวเองเลย ’

หลังจากที่เข้าบ้าน THUS มาไม่นาน จำได้ว่า เรามีระบบเทรดที่นำมาใช้พร้อมกับ Logic แปลกๆ ติดตัวมาเต็มไปหมด เพราะเกิดจากการนำหลายๆอย่างมารวมกันแล้วใช้โดยที่ไม่ได้ตั้งคำถามกับระบบเทรดนั้นเลยว่าใช้ได้จริงหรือไม่? เหมาะสมกับเราจริงหรือเปล่า?

แม้จะสงสัยในระบบอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อเทรดแล้วได้กำไร เรากลับ ‘เชื่อ’ และยึดติดใน Logic ของระบบว่าใช้ได้ผลแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ต่อยอดไม่ได้ ตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้หาคำตอบมาด้วยตัวเองตั้งแต่แรก

พอได้ปรึกษาพี่โอห์ม พี่โอห์มได้ให้คำแนะนำว่า “Back to Basic” คือกลับมาดูแค่กราฟเปล่า ฝึกดูอารมณ์จากแท่งเทียนแล้วจับฟีลตลาดให้ได้ และให้เลือก Indicator มา 1 อย่าง (จากที่ใช้อยู่หลายอย่าง) เพื่อลดความสับสนของเราให้ได้มากที่สุด ก่อนจะให้โจทย์ที่ถามเกี่ยวกับพฤติกรรมราคา เป็นโจทย์ที่ไม่ใช้ฟีลในการตอบ แต่ต้องตอบโดยการใช้ ‘สถิติ’ เสมอ เพราะเห็นชัด จับต้องได้ ที่สำคัญเราไม่คิดไปเอง

หลังจากที่ได้โจทย์นี้ รู้สึกว่า ‘ยาก’ เพราะต้องโละความเชื่อแปลกๆที่ขนมาเต็มกระเป๋าออกทั้งหมด แต่ก็ทำตามโดยทันทีเหมือนกัน เพราะคิดว่าถ้าวิธีการที่ผ่านมาเวิร์ก คงเห็นผลตอบแทนจริงๆไปตั้งนานแล้ว ซึ่งสิ่งที่เล่ามานี้ค่อนข้างตรงกับ 3 วิธีลดความเชื่อจากหนังสือ Mindset Secrets for Winning ที่ว่า

1. ลดทอนความเชื่อเดิม จากการตั้งคำถามว่า ความเชื่อในปัจจุบัน ฉุดรั้งการพัฒนาของเราอย่างไรบ้าง?

2. นำความเชื่อใหม่ขึ้นมาทดแทน เป็นความเชื่อที่ขัดหรือตรงข้ามกับความเชื่อเดิม (ข้อ 1) เพื่อช่วยเสริมให้เราพัฒนาขึ้น

3. เสริมสร้างพลังให้กับความเชื่อใหม่ โดยการฝึกตั้งคำถาม และคำตอบด้วยตัวเองให้ได้ ซึ่งเราเลือกตอบออกมาเป็นสถิติ เพราะหลายเรื่องที่เราคิดว่าใช้ได้ คิดว่าได้ผล แต่พอหาคำตอบออกมาเป็นตัวเลข กลับมีความน่าจะเป็นไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำไป

รวมถึงหนังสืออีกหลายเล่มที่ถูกเขียนโดยเทรดเดอร์มืออาชีพบอกให้เราจดบันทึกการเทรด ,บริหารความเสี่ยง/จำกัดความเสี่ยง ,วางแผนการเทรดก่อนเทรดทุกครั้ง ,นั่งสมาธิ ฝึกควบคุมอารมณ์และรู้เท่าทันความคิดของตนเอง และอีกหลายอย่างมากมายที่เมื่อเราศึกษาไปสักพักจะเริ่มเห็นว่าเป็นเรื่องเดิมที่ไม่ต่างหรือแปลกใหม่กว่ากันมาก แต่เป็นสิ่งที่ระดับ Legend ให้ความสำคัญ

ในวันที่แพ้และรู้สึก Doubt ที่สุด ใจเริ่มคิดเหมือนกันว่า สิ่งที่เทรดเดอร์มืออาชีพแนะนำให้ทำ เราลองทำอย่างจริงจังดูไหม? ถ้าทำแล้วยังไม่ดีขึ้น ไม่เกิดการพัฒนา (แบบจริงๆ) เราค่อยมาว่ากันอีกที แต่วันนี้ลองทำดูก่อนดีไหม ?

สุดท้ายนี้ขอจบบทความนี้ด้วยประโยคของพี่ต้าน Mudley Group ที่ว่า “ทำให้ตัวเองได้เปรียบกว่าคนอื่น จากการให้ความสำคัญกับ Process พร้อมกับตั้งคำถามอยู่เสมอว่าแนวคิดของเราใช้ได้จริงรึเปล่า”

และที่สำคัญ “ถ้าเราเจ๋งจริง เราต้องจัดการตัวเองได้”

Somkid

24/07/2023

ทุกคนเข้ามาในตลาดด้วยจุดหมายที่ต่างกัน จากที่คุยกับเพื่อน พี่ น้องทั้งเทรดเดอร์อาชีพและมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการลงทุน บางคนอยากเปลี่ยนชีวิต บางคนอยากมีเวลาให้มากขึ้นทำงานให้น้อยลง บางคนอยากหารายได้เสริมจากงานประจำ บางคนอยากลงทุนเพื่อเก็บเงินยามเกษียณ ทุกคนต่างมี “เป้าหมาย” เป็นของตัวเอง
คุณเคยถามกับตัวเองกันบ้างไหมว่าคุณเข้ามาเทรดทำไม? เป้าหมายที่แท้จริงของคุณคืออะไร? คำถามนี้ผมถูกพี่ๆเทรดเดอร์หลายคนถาม โดยเฉพาะวันสัมภาษณ์วันแรกก่อนที่เข้ามาอยู่ใน THUS ผมยังจำคำตอบของตัวเองได้ดี ผมตอบไปว่า “ผมอยากเปลี่ยนชีวิตครับพี่ ถ้าให้เป็นตัวเงินผมอยากมีซัก 100 ล้านครับ”
สำหรับผมเป้าหมายเป็นเหมือนเส้นชัยในการเดินทางของชีวิตเรา เป็นพลังในการขับเคลื่อนชีวิตเรา เป็นแรงบันดาลใจให้เราตื่นนอนมาใช้ชีวิตในวันต่อไป แม้การมีเป้าหมายเป็นสิ่งที่ดี แต่น้อยคนนักจะมี “แผนการ” หรือการวางแผนที่ดีเพื่อกำหนดเส้นทางที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น จนทำให้เราเพ้อฝันอยู่แต่กับเป้าหมายของเรา โดนสิ่งอื่นล่อลวงได้ง่าย ไม่ได้พิจารณาถึงความเป็นจริงว่าเราจะทำมันได้อย่างไร
เคยถามตัวเองไหมครับว่าเราจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร? แผนการของเราเป็นอย่างไร? เรามีบันไดกี่ขั้นกว่าเราจะไปถึงเส้นชัย เราจะล่องเรือของเราออกไปในมหาสมุทรโดยที่ไม่มีแผนที่แบบนั้นจริงหรือ?
แผนการสำหรับผมมันเหมือนเกมส์ เกมส์ที่เราเป็นผู้กำหนดมันขึ้นมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ในฐานะผู้สร้างเกมส์ เราต้องใช้ความละเอียด ปราณีต ความสามารถทั้งหมดของเรา ในการที่จะสร้างสรรค์มันออกมาให้ชัดเจนและเหมาะสมกับเราที่สุด และที่สำคัญคือมันต้องพิสูจน์ได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญสองอย่างที่ผมใช้เป็นหลักการในการกำหนดแผนการของผมคือ 1. ความชัดเจนแน่นอน และ 2. ความสามารถของตัวเรา (ทำได้จริงไหม?) สำหรับผม สิ่งที่ทำให้เราเห็นตัวเองได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น คือ ข้อมูลจากการจดบันทึกการเทรด
จากการทบทวนตัวเองผ่านบันทึกการเทรดของผม ผมแบ่งช่วงเวลาพัฒนาตัวเองออกเป็น 2 Phase เทรดเดอร์มือใหม่ช่วง Phase 1 เราทุ่มเทเวลาไปกับการหาความรู้จากการอ่านหนังสือ ลงคอร์สเรียน ไปงานสัมนาต่างๆ การวางแผนในการทำสิ่งเหล่านี้ผูกติดกับเงื่อนไขเรื่องเวลาของเรา ซึ่งมันสามารถวัดผลได้ง่าย เพียงแค่เรามีวินัยและใช้เวลาของเราก็ทำได้สำเร็จ หลังจากนั้นพอขยับมาที่ Phase 2 เทรดเดอร์มือใหม่ส่วนใหญ่จะมีเป้าหมายว่ารวย บางคนอาจกำหนดว่าเราต้องทำกำไรให้ได้ 20% ต่อเดือน โดยไม่ได้พิจารณาตามความสามารถที่เป็นอยู่จริง เพราะเราไปหลงระเริงกับคำพูดเพ้อฝัน จนเราเสียเวลาไปมากก็ยังไม่ถึงเป้าหมายซักที หรือบางคนถึงขนาดพอร์ตแตกออกจากเกมส์นี้ไป โดยที่เราไม่เคยถามตัวเองเลยว่าวิธีการของเราสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายได้จริงไหม?
ผมเป็นคนหนึ่งที่ผมประสบปัญหานี้ครับ
ผมกำหนดแผนของตัวเองว่า ถ้าเราเริ่มต้นด้วยเงินต้น 1 ล้านบาท และมีเป้าหมายคือเงิน 100 ล้านบาท
แผนการของผมคือทำกำไรให้ได้เดือนละ 10 เปอร์เซ็นต์จากเงินต้น เป็นระยะเวลา 48 เดือน หรือ 4 ปี ติดต่อกัน และเพิ่มขนาดการเทรดตามเงินต้นในแต่ละขั้น ผมจะได้เงิน 100 ล้านบาทตามที่ตั้งไว้
ผมมีความชัดเจนในการกำหนดเป้าหมายและแผนการของผมคือ ผมเขียนออกมาด้วยสิ่งที่จับต้องได้ว่า ผมจะต้องเทรดอะไร ขนาดการเทรดในช่วงเงินต้นแต่ละช่วงจะใช้เท่าไหร่ เช่น ถ้ามีเงิน X บาท ผมจะเทรด TFEX เป็นจำนวน X สัญญา ผมกำหนดต่อไปด้วยว่าผมจะเพิ่มขนาดการเทรดเมื่อไหร่และจะลดเมื่อไหร่ การทำกำไรต่อ 1 ครั้ง ผมต้องคาดหวังให้สินค้าที่เทรดวิ่งกี่จุด

แต่สิ่งที่ผมพลาดเป็นอย่างมากคือ ผมลืมสนิท ผมลืมคิดไปว่าผมทำได้จริงไหม? ผมเสพข้อมูลจากความขายฝันมากเกินไปรึเปล่า หรือผมมีความมั่นใจขนาดนั้นได้อย่างไร พอผมมามองย้อนดูตัวเอง ในเวลานั้น ผมยังไม่มีข้อมูลอะไรที่พิสูจน์ได้เลย สุดท้ายผลลัพธ์มันเลยออกมาเป็นพอร์ตขาดทุน “เจ๊ง” แทนที่จะรวย นั่นคือเหตุผลที่ทำไมผมถึงบอกว่าสิ่งสำคัญอย่างที่สองของแผนการเราคือ ความสามารถของตัวเรา เราทำได้จริงแบบที่ตั้งไว้ไหม สิ่งนี้สำคัญมากครับ
หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา ผมคิดประโยคหนึ่งขึ้นได้กับตัวเองว่า “เป้าหมายกับแผนการของเราเป็นแบบไหน การกระทำของเราก็จะเป็นแบบนั้น” ลองคิดดูครับว่าจริงไหม? บางคนมีเป้าหมายแต่รวยๆ เลยทำได้เกิดการ over trade เพราะคิดว่าจังหวะนี้เปลี่ยนชีวิต สุดท้ายจบชีวิต
ในตอนนี้ ผมเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็น “รอดให้ได้แล้วจะรวยเอง” ทำให้ผมเริ่มคิดแผนการที่เราจะอยู่รอด ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะรอดได้อย่างไร? สิ่งไหนที่ผิดพลาดและทำให้เราไม่รอดบ้าง? มันเสียเวลาที่เราต้องเดินหลงทาง แต่มันเป็นเวลาที่ดีที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ครับ พอผมเปลี่ยนมาคิดแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการกระทำมันสะท้อนความคิดและความเชื่อของผมครับ ผมใส่ใจกับกระบวนการคิดมากกว่าการตัดสินใจบ่อยๆ ผมให้ความสำคัญกับความเสี่ยงมากกว่ากำไรที่ได้ ผมเริ่มรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น
สุดท้าย หากใครยังหลงทางอยู่ ลองมาคิดถึงเป้าหมายและแผนการของตัวเองว่าเราจะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไปกันอย่างไรครับ
พี่โอมเคยพูดกับผมว่า “ตลาดนี้มันแปลกนะ เราคาดหวังอะไรกับมัน มันก็จะให้เราแบบนั้น”

Steve

21/07/2023

“หากคุณเชื่อว่าต้องทำนายความเคลื่อนไหวของตลาดได้ถูกต้อง ถึงจะได้ผลตอบแทนที่ดี นั่นคือหนึ่งในความเชื่อที่บาปมหันต์”

“การทำนายตลาด เป็นของที่ขาดไม่ได้สำหรับนักลงทุน แต่ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลยสำหรับนักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จ”

สองประโยคนี้เขียนอยู่ในหนังสือ ‘บัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ’ ซึ่งค่อนข้างตรงกับการเทรดของเราในช่วงที่ผ่านมา ที่ตัวเราเองใช้เหตุการณ์สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตมาเป็นเงื่อนไขหลักในการ “ตัดสินใจ” ว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน ไม่ว่าจะเป็นข่าวหรือการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่าง Nonfarm Payroll , CPI y/y , Unemployment Claims รวมถึง Federal Funds Rate ที่นักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตามอง การประกาศอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐในสัปดาห์หน้านี้

ในระหว่างที่เราเชื่อว่า “ทองขึ้นมาแบบนี้แสดงว่าราคาของทองยังไม่ได้สะท้อนกับเหตุการณ์หรือตัวเลขสำคัญในสัปดาห์หน้า”

เราเลยเลือกใช้วิธีเก็งหรือคาดการณ์ไปเองว่า “หากมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้าตามที่คาดการณ์กันจริง มีโอกาสที่ค่าเงิน USD จะแข็งค่า อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่มาสนับสนุนสินค้าที่เราเทรดอย่าง XAU/USD ให้ราคาลง” ซึ่งเราพลาดที่ไม่ได้คิดต่อเลยว่า นั่นคือตัวเลขที่เทรดเดอร์คนอื่นก็เห็นมันเหมือนกับเรา และเราเองก็ไม่รู้เลยว่าอัตราดอกเบี้ยที่คาดการณ์ว่าจะขึ้น 0.25% นี้ตลาดรับรู้ไปเท่าไหร่แล้ว

พอได้ปรึกษากับพี่รัฐหนึ่งใน Mentor ของ THUS พี่รัฐแนะนำว่า ให้ลองเข้าไปดูที่ CME FedWatch Tool ก็พบว่า ตลาดเชื่อไปแล้วกว่า 99.8% ว่าอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นจาก 5.00 เป็น 5.25% ทำให้ประโยคที่เราเชื่อและเก็งไว้ก่อนหน้านี้ดูตลกไปเลย เพราะถ้าเหตุการณ์ในอนาคต ตลาดรับรู้ไปหมดแล้ว มันมีโอกาสสูงที่ตลาดจะไม่ตอบสนองต่อเหตุการณ์นั้น และอาจเป็นการเคลื่อนไหวแบบสุ่ม ซึ่งเราไม่สามารถรับรู้มันได้ก่อนเลยว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดโดยใช้ประโยชน์จากสมมุติฐานที่พูดมาก่อนหน้านี้

เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ (รวมถึงตัวเราเองในวันนี้ด้วยเช่นกัน )มักชอบเก็งหรือคาดการณ์กับข่าวหรือเหตุการณ์ต่างๆในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเราไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า ข่าวไหนหรือ เหตุการณ์ไหนได้สะท้อนลงไปในราคาของสินค้านั้นแล้วบ้าง และตลาดก็ไม่ได้เล่นกับตัวเลขเศรษฐกิจอย่างตรงไปตรงมาขนาดนั้น

อยากจะยกคำพูดของ Mentor ที่พูดกับเราว่า “ต่อให้ Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริงๆ ทองอาจจะไม่ได้ลงเพราะสิ่งนี้ แต่อาจเป็นเพราะสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากสิ่งที่ตลาดเชื่อหรือที่คาดการณ์กันไว้”

เนื่องจากอะไรที่คาดการณ์หรืออยู่ในข่าวไปแล้ว มันจะไม่มีนัยสำคัญอีกต่อไป (ในกรณีที่ผลออกมาพอๆกับที่คาดการณ์ ) จนเกิดเป็นคำพูดที่ชอบพูดกันว่า Sell on Fact และ Buy on Fact ที่เรามักจะเคยได้ยินกันอย่างคุ้นหูนั่นเอง

ในทางตรงข้าม เมื่อไหร่ก็ตามที่ตัวเลขออกมาดีกว่าคาด หรือออกมาต่ำกว่าคาด นั่นก็ถือเป็นเซอร์ไพรส์ของตลาดที่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ต่อได้ว่า เราจะเลือกที่จะถือ Position ที่ถือมาต่อไป ? หรือจะปิดไปก่อนเพราะมีความเสี่ยง ? หรือเข้า Position เพิ่มเพราะมองว่าเป็นโอกาส ?

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คืออะไรล่ะ ? เราในฐานะของคนตัวเล็กๆคนหนึ่ง (ใครก็ไม่รู้) เราจะวางแผนเทรดให้เหมาะสมกับสิ่งที่เราอยากเป็นได้ยังไงบ้าง? นั่นคือคำถามที่เราควรถามตัวเองที่สุดในตอนนี้ และอีกหนึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ สำหรับการเทรดเราต้องว่ากันไปตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราต้องเทรดตามข้อมูลที่ตลาดให้เรามา ไม่ใช่เทรดตามสิ่งที่เราอยากให้เป็นหรือต้องการจะให้มันเป็น

สุดท้ายบทความนี้ขอกลับมาจบด้วยประโยคของพี่โอห์มที่ว่า “การเข้าไปเทรดด้วย Logic ของการคาดการณ์ความเป็นไปของข่าว และใช้ Logic นี้มาตัดสินใจในการเทรดมันเป็นอะไรที่เกินตัว เพราะสำหรับข่าวหรือเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น เราแค่รับรู้ไว้ก็พอ แล้วไปเน้นฝึกฝนจิตใจของตัวเอง ฝึกจับอารมณ์ตลาดตอนที่ข่าวประกาศออกมาจะดีกว่า”

Somkid

16/07/2023

เคยไหมกับการคิดว่าตัวเองเสียเวลามาตั้งนานแล้วรู้สึกไม่ไปไหน ยังไม่พัฒนา ลงเรียนคอร์สหรืออ่านหนังสือเท่าไหร่ก็ยังไม่สามารถทำผลตอบแทนที่คาดหวังได้?
ถ้าคุณเคยอาจจะเป็นเหมือนผมในช่วงหนึ่ง
ปัญหาอย่างหนึ่งของเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะมือใหม่และคนที่อยู่ในตลาดมาประมาณหนึ่งแต่ยังไม่สามารถบรรลุผลตอบแทนแบบที่คาดหวังได้คือ ปัญหาที่ไม่รู้ว่าจุดอ่อนหรือข้อเสียของตัวเองคืออะไร?
ด้วยสาเหตุนี้ ทำให้คนเราส่วนใหญ่เสียเวลาไปกับอะไรที่ผิดๆ เหมือนเดินวนหลงอยู่ในเขาวงกตและรอวันจบชีวิตในนั้น
บางคนมีปัญหาเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง แต่ไปมองว่าตัวเองมีปัญหาที่เงื่อนไขในการเทรดของตัวเอง จนเสียเงินไปเรียนคอร์สแพงๆมากมาย
บางคนมีปัญหาที่จิตใต้สำนึกของตัวเองหรือจิตใจของตัวเอง แต่ไปมองว่าเป็นปัญหาจากจุดอื่น
สุดท้ายก็จบลงที่หนังม้วนเดิมคือไม่มีผลลัพธ์อะไรเปลี่ยนแปลง จนถึงขั้นล้มเลิกกับเป้าหมายที่เราเคยคิดว่าจะทำให้สำเร็จ
ความจริงแล้วเราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยเริ่มจากตัวเรา และเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จพูดเหมือนๆกันว่า “เทรดเดอร์ต้องจดบันทึกการเทรด”
คุณเคยถามไหมว่าเราต้องจดไปทำไม? ผมเป็นคนหนึ่งที่ตั้งคำถามในช่วงแรกที่มาเป็นเทรดเดอร์ว่า เราจะจดมันไปทำไม? มันเลยทำให้ผมละเลยมันไป แต่ไปให้ความสำคัญกับการหาความรู้จากคอร์สเรียน การอ่านหนังนือ สนใจแต่สิ่งอื่นนอกจากตัวเอง จนมาถึงวันที่ผมคิดกับตัวเองว่า เวลาที่ผ่านมา เราพัฒนาอะไรบ้าง ผมกลับไม่สามารถตอบตัวเองได้แบบเป็นรูปธรรม ความคิดมันเกิดขึ้นในหัวทันทีว่า “นี่กูเสียเวลาไปกับอะไรวะ” หลังจากนั้นผมเริ่มยอมรับว่าสิ่งที่เราเชื่อมาก่อนหนัานี้มันคือ Ego ของตัวเองที่ไปเชื่อว่าเราจะจำมันได้ทั้งหมด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่โคตรจะบ้าเอามากๆ เพราะการเทรดของเรา เราต้องประมวลผลข้อมูลที่เยอะมาก มันไม่มีพื้นที่ในสมองเพียงพอกับให้เราจดจำได้ทุกอย่างอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
หลังจากวันนั้นผมเริ่มมี mentor ของผม ผมพูดคุยกับเขา เขาเป็นคนที่โคชให้ผมต้องเริ่มใส่ใจกับการจดบันทึกการเทรด ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวัน “is a must” ไม่งั้นผมจะอยู่ที่เดิมและเสียเวลาไปมากกว่าที่ควรจะเป็น
ผมเริ่มหันมาใส่ใจกับการจดบันทึกการเทรด จนผมเริ่มตอบทำถามที่เคยตั้งไว้ว่า เราจดบันทึกการเทรดไปทำไม?
อย่างแรกเลย บันทึกมันทำให้เราไม่ลืมในสิ่งที่เราเคยทำมันลงไป มันคือประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเราเอง ที่ไม่มีขายที่ไหน
พอเราทำไปถึงจุดที่มากพอ มันจะเป็นกระจกที่สะท้อนตัวเรา เราจะเริ่มรู้ค่าสถิติต่างๆของตัวเรา เราเป็นคนแบบไหนชอบเล่นสั้นหรือถือสถานะยาว ความผิดพลาดของเราเกิดขึ้นจากระบบหรือจากตัวเราเอง
หลังจากนั้นเราจะเริ่มมีทัศนคติ ความคิดและความเชื่อในการยอมรับความผิดพลาด เราจะเริ่มคิดว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นจากตัวเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเราเริ่มพัฒนา เราจะเลิกโทษคนอื่นหรือสิ่งต่างๆ
นอกจากนั้น การจดบันทึกมันยังเป็นเข็มทิศนำทางให้เราไปเจอกับปัญหาของตัวเรา เราจะเห็นพฤติกรรมทั้งที่ดีและไม่ดีของเราที่แสดงออกมาซ้ำๆ จนเป็นแพทเทิร์นซึ่งมีอยู่ไม่กี่รูปแบบ และหลังจากนั้นเราจะเริ่มรู้ว่าเราจะแก้ไขตัวเองอย่างไรต่อไป ถ้าใครมี mentor ในจุดนี้ก็อาจจะทำให้เรามองเห็นตัวเองได้เร็วกว่าเดิม
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ เราจะจดบันทึกอย่างไร?
ผมเคยเป็นหนึ่งในคนที่ตั้งคำถามเรื่องนี้และหาคำตอบอยู่นานมาก จนผมไม่อยากให้ทุกคนเสียเวลาไปแบบผมนะครับ ผมได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า “จดยังไงก็ได้ให้กระชับ อ่านแล้วเข้าใจ และสามารถนำกลับมาทบทวนได้”
เราจะจดในกระดาษแผ่นเดียว จดลงในโปรแกรม excel หรือใช้ Application ช่วยจด เช่น Notion หรือถ้าใครเทรดใน MT4, MT5 ก็สามารถต่อบัญชีของตัวเองกับ Myfxbook ให้เก็บสถิติไว้ก็ได้ครับ ส่วนนี้ผมว่าแล้วแต่ความถนัดและง่ายของใครของมันครับ
ช่วงแรกๆอย่าไปคิดมันเยอะครับ ผมได้คำแนะนำจากรุ่นพี่เทรดเดอร์ท่านหนึ่งว่า “ลองจดดูก่อน แล้วหลังจากนั้นจะรู้เองว่าอะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ” พอลองไปทำตามแล้วใช้ได้ผลดีเลยครับ เราจะได้เลิกหาความสมบูรณ์แบบมาเป็นข้ออ้างให้เราไม่เริ่มจดซักทีครับ
ส่วนตัวผมเองจะบันทึก 2 อย่าง

1.) Trade Record: ผมจะจดเหมือนกับที่ทั่วไปแนะนำเลยครับ เช่น จุดเข้า / จุดออก / ระยะเวลาในการถือ / Position Size / ค่าธรรมเนียม / TF ที่ใช้เทรด / เหตุผลในการซื้อหรือขาย / Trade setup ที่ใช้ / รูปภาพกราฟตอนเข้าและออก สิ่งสำคัญสุดคือการ Note เพิ่มเติมว่ามีอะไรผิดปกติหรือมีอะไรที่พิเศษในการตัดสินใจของการเทรดครั้งนั้นบ้าง

2.) ไดอารี่เกี่ยวกับตลาด: ผมได้แนวคิดในการจดตรงนี้มาจากประสบการณ์ที่ได้คุยกับพี่ๆเทรดเดอร์ที่เป็น Prop Trade เขาแนะนำผมว่า เขาจะจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดแต่ละวัน ละเอียดและไม่เป็นทางการเหมือนกับ Trade Record คือเราจะจดว่าก่อนเปิดตลาดเราคิดยังไง วันนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ตลาดในต่างประเทศเป็นอย่างไรในคืนก่อนหน้า ตลาดเพื่อนบ้านเราเช้านี้เป็นอย่างไร รวมไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งวันนั้น พอผมได้แนวคิดแบบนี้ก็เริ่มมาทำทุกวัน จนเราจะรู้เองครับว่าเราจะบันทึกอะไรบ้าง อย่างไร ผมว่ามันเป็นประโยชน์กับผมมากครับ
สุดท้ายถ้าเราจดบันทึกอย่างมีวินัยจนมีข้อมูลที่มากพอในระยะเวลาประมาณหนึ่ง ผมจะมานั่งทบทวนตัวเองผ่านบันทึกการเทรดนั้น (ส่วนตัวผมจะทำทุก 1 เดือนในวันเสาร์/อาทิตย์)
ผมจะให้เวลากับตัวเอง 1 วันมาอ่านบันทึกการเทรดและไดอารี่ในเดือนที่ผ่านมา ค้นหาปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงข้อดีของเราด้วย เพื่อจะพัฒนาตัวเองต่อไป ถ้าเราจดอย่างเดียวโดยที่ไม่มีการนำมาทบทวนเลย โดยส่วนตัวผมมองว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรต่อตัวเราเลย
หลังจากที่เราทบทวนเราจะเริ่มเห็นอะไรบางอย่าง เช่น เราเริ่มเห็นว่าเราเป็นคนที่เทรดได้กำไรในตอนครึ่งเช้าของตลาด แล้วคืนกำไรในช่วงครึ่งบ่ายจนหมด หลายครั้งหลายหน เราไม่เคยคิดว่าจะหยุดเลยในตอนที่เราได้กำไร แต่มาหยุดตอนที่คืนกำไรไปหมด แบบนี้จะทำให้เรารู้ว่าเราต้องพัฒนาทักษะเรื่องการหยุด รู้ว่าจะหยุดตอนไหน เป็นต้น
จากที่ผมมีประสบการณ์ไปงานสัมนามาหลายที่ ฟังเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จมาหลายคน การจดบันทึกทำให้เราเป็นคนส่วนน้อยที่อยู่ในตลาดแล้วครับ ดังนั้น ถ้าเราเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนส่วนน้อยในตลาดที่มาให้ความสำคัญในการพัฒนาตัวเราเอง ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาดของตัวเอง ผมเชื่อว่าเราจะพัฒนาไปในทิศทางที้ดีขึ้นและจะต้องบรรลุเป้าหมายของเราในวันใดวันหนึ่งแน่นอนครับ
ฝากไว้ประโยคหนึ่งตอนท้าย
“ครูที่ดีที่สุดในการเทรดคือความผิดพลาดตัวเราเอง”

Steve

THUS clubhouseพบกับพวกเราอีกครั้ง วันนี้ 19.30 น. ตั้งเวลารอกันไว้ได้เลยหัวข้อของวันนี้คือ Trader to traderวันนี้เราจะเป...
21/06/2023

THUS clubhouse

พบกับพวกเราอีกครั้ง วันนี้ 19.30 น. ตั้งเวลารอกันไว้ได้เลย

หัวข้อของวันนี้คือ Trader to trader

วันนี้เราจะเปิดโอกาสให้กับผู้ฟังเข้ามาร่วมพูดคุยกันด้วยครับ

แล้วพบกันคืนนี้ครับ 🔥🔥🔥

Thus Open House 😈วันอังคารที่ 13 มิ.ย. 2566 เวลา 2 ทุ่มตรง ตั้งเวลากันให้ดีครั้งแรกของพวกเราที่จะมาคุยกันแบบสดๆ โดยพี่โอ...
12/06/2023

Thus Open House 😈

วันอังคารที่ 13 มิ.ย. 2566 เวลา 2 ทุ่มตรง ตั้งเวลากันให้ดี

ครั้งแรกของพวกเราที่จะมาคุยกันแบบสดๆ โดยพี่โอม และเหล่าเทรดเดอร์ THUS จะมาพูดคุย แลกเปลี่ยนมุมมองต่างๆกับเพื่อนๆทุกคนเกี่ยวกับเส้นทางการเป็นเทรดเดอร์ครับ

ใครอยากถามอะไร อยากคุยอะไร เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้ามาคุยกันครับ

สำคัญเลย งานนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย ให้กันฟรีๆ

แล้วเจอกัน 2 ทุ่มวันอังคารนี้🔥🔥🔥

ลิ้งค์เข้าร่วมกิจกรรมอยู่ใต้โพสต์นี้ครับ

สรุปหนังสือ Mindset Secret For Winning By Mark Minervini ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาผมมีเวลาได้ทบทวนตัวเองในเรื่องการเทรด ได้มี...
06/06/2023

สรุปหนังสือ Mindset Secret For Winning By Mark Minervini

ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาผมมีเวลาได้ทบทวนตัวเองในเรื่องการเทรด ได้มีเวลาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เลยทำสรุปหนังสือเล่มใหม่ที่พึ่งออกมาฝากเพื่อนๆกันครับ เป็นหนังสือดีอีกเล่มที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะครับ หลักๆจะเป็นเรื่องของ Mindset ของคนที่ productive ครับ วันนี้เอาส่วนที่หนึ่งไปก่อนนะครับ ติดตามส่วนที่เหลือโพสต์หน้าครับ

1. ความรู้ การฝึกฝนและทักษะความสามารถของเราจะแสดงออกมาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อเมื่อเรามีวิธีคิดที่ถูกต้อง กลับกันถ้ามี Mindset ที่ผิดจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อทุกอย่างที่มีผลต่อขั้นตอนการไปสู่ความสำเร็จของเรา
2. เราให้ความหมายของความสำเร็จแตกต่างกันไป และมีระดับที่แตกต่างกันไปตามเป้าหมายของแต่ละคน บางคนมีเป้าหมายระดับโลก บางคนระดับประเทศ บางคนระดับท้องถิ่น
3. ในทุกเกมของชีวิต ผู้ชนะคือทุกอย่าง ลองถามตัวเองดูว่าเราอยากเป็นผู้แพ้หรือไม่ในเรื่องที่เราให้ความสำคัญ คำตอบของคนส่วนใหญ่ที่มีเป้าหมายคือ “ไม่” ไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้ แต่การจะเป็นผู้ชนะได้เราต้องเริ่มจากจิตใจของเรา วิธีคิดหรือทัศนที่ถูกต้องเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางผู้ชนะ
4. เราสามารถเริ่มต้นก้าวแรกได้ด้วยการอ่านหนังสือ หนังสือคือหน้ากระดาษที่สร้างแรงบันดาลใจ หน้ากระดาษที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของผู้คนได้ ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการอ่านหนังสือครับ แล้วคุณจะพบกับแรงบันดาลใจในชีวิต
5. หนังสือเล่มหนึ่งที่ Mark กล่าวถึงในหนังสือคือ โจนาธาน ลิฟวิงส์ตัน นางนวล (Jonathan Livingston Seagull) เป็นหนังสือเกี่ยวกับนกนางนวลที่ปรารถนาที่จะเรียนรู้ความหมายของชีวิต ผมอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้อ่านครับ ตัวผมเองอ่านหนังสือเล่มนี้ตอนช่วงแรกๆที่ตัดสินใจมาเป็นเทรดเดอร์ มันสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราได้เยอะมากเลยครับ ทำให้ผมมีไฟในการตัดสินใจมาเป็นเทรดเดอร์ไปอีกขั้นครับ ลองหามาอ่านกันดูนะครับ
6. แม้ความสามารถของผู้คนจะมีข้อจำกัดทางกายภาพอยู่ แต่ในความเป็นจริง ข้อจำกัดทางจิตใจมักจะมาถึงก่อนเสมอที่จุดเริ่มต้น ถ้าเราจำกัดความคิดของเราไว้ตั้งแต่ต้นว่าทำไม่ได้ มันยากเกินไป หรืออะไรก็แล้วแต่ แค่นี้มันก็ไม่มีโอกาสให้เราได้พิจารณาถึงข้อจำกัดทางกายภาพของเราเลยแม้แต่น้อย
7. Mark เริ่มต้นจากคนไม่มีอะไรเลย ไม่มีเงิน ไม่มีเส้นสาย มีแต่ความเชื่อจนนำพาเขาไปสู่ความสำเร็จ ส่วนตัวผมชอบประโยคนี้ในหนังสือมากเลยครับ “ถ้าคนอื่นประสบความสำเร็จได้ ผมก็ทำได้เช่นกัน” ตัวผมเองก็คิดแบบนี้อยู่ตลอด ถามตัวเองดูครับว่าเราเชื่อในตัวเรามากพอหรือยัง สำหรับ Mark คนที่เป็นแรงบันดาลใจหรือบุคคลต้นแบบของเขาคือ Paul Tudor Jones เขาจึงทำการศึกษาวิธีการเทรดของพอล ความเชื่อของพอล เลยทำให้ได้รู้ว่า พอลเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการควบคุมความเสี่ยงมาก เขาเลยเอาแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์ของตัวเอง และนั่นคือจุดที่ทำให้เขามีความเชื่อที่สอดคล้องกับผู้ชนะที่เคยพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว
8. อยากเป็นแบบไหน ต้องเรียนรู้ที่จะคิดให้ได้เหมือนพวกเขา เช่น อยากเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ ต้องเรียนรู้ว่าพวกคนเหล่านี้เขาคิดยังไง เพราะสมองของมนุษย์เราเป็นไปตามความเชื่อ แค่วิธีการหรือความรู้มีเหมือนกับคนที่เราอยากเป็นยังไม่พอ เราต้องลงลึกไปถึงความคิดและความเชื่อเบื้องลึกของเราด้วย
9. ตั้งแต่เราเกิดมาบนโลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีส่วนไปปฏิสัมพันธ์ด้วยล้วนสร้างความคิดและความเชื่อให้กับเราในทางใดทางหนึ่ง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้รับประสบการณ์ซ้ำๆกับสิ่งที่เราเชื่อ มันยิ่งจะฝังรากลึกลงไปในตัวตนของเรา Mark กล่าวในหนังสือว่า “ถ้าสิ่งที่คุณเชื่อส่งผลให้คุณมีสถานะอย่างในปัจจุบัน แล้วหลังจากนี้คุณจะเลือกมีความเชื่ออย่างไรเพื่อสร้างอนาคต” เป็นประโยคที่น่าเอาไปลองคิดต่อดูครับ
10. ธรรมชาติของมนุษย์ถ้ามีความเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว จะเสพแต่ข้อมูลที่เป็นการยืนยันความเชื่อของเรา ข้อมูลที่เราคิดว่าเป็นความจริง พยายามหาหลักฐานมาสนับสนุนความเชื่อของเรา และปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ขัดแย้งต่อความเชื่อของเรา ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความเชื่อของเรา เพราะความเป็นจริงในโลกที่เรามองมันเกิดขึ้นจากความเชื่อของเรา แม้ด้วยตรรกะและเหตุผลสิ่งนั้นจะเป็นจริงตามที่เราเชื่อหรือไม่ก็ตาม
11. ความเชื่ออาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ 1. ความเชื่อพื้นฐานทั่วไป และ 2. ความเชื่อส่วนบุคคล (ความเชื่อพื้นฐานทั่วไปเป็นความเชื่อที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเรามากที่สุด เพราะมันจะส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง หรือความเชื่ออื่นๆในชีวิตของเราด้วย ส่วนความเชื่อส่วนบุคคลนั้นมีขอบเขตที่จำกัดหรือคงอยู่แค่ชั่วคราวในชีวิตเรา เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ตลอดชีวิตของเรา)
12. ความเชื่อจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่เราจะทำหรือไม่ทำ ความสามารถจึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของเรา สิ่งที่กำหนดพฤติกรรมคือมุมมองของเราต่อตัวเราเอง แต่ถ้าเราเชื่อแบบหนึ่งแล้วทำอีกแบบหนึ่งที่ขัดแย้งกัน มันจะค่อยๆทำลายตัวเราในระยะยาว
13. ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกล้วนไม่มีความหมาย เหตุที่มันมีความหมายเพราะเราให้ความหมายกับมัน เราให้ความหมายกับสิ่งต่างๆตั้งแต่เกิดมา สร้างความรู้สึกต่อสิ่งต่างๆ เช่น ความโกรธ ความโลภ ความกลัว ซึ่งแต่ละคนมีแตกต่างกันไปในแต่ละเรื่อง ดังนั้นมนุษย์เราจึงเกิดมาพร้อม “อิสรภาพในการเลือก”
14. เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ได้สร้างความรู้สึกให้กับเรา แต่ความรู้สึกมันเกิดจากความเชื่อของเราที่เชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและให้ความหมายกับเหตุการณ์ต่างๆนั้นเอง เราเป็นคนกำหนดว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตทำให้เรารู้สึกอย่างไร รวมถึงความรู้สึกของเราในปัจจุบันที่มีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตด้วย เหมือนกับประโยคที่ว่า “ทุกสิ่งล้วนไร้ความหมาย เว้นแต่ความหมายที่ฉันให้กับมันเอง”
15. ความเชื่อของเราเป็นกรอบในการกำหนดขีดจำกัดของตัวเราเองด้วย Mark แนะนำ 3 ขั้นตอนในการปรับปรุงความเชื่อที่มีอยู่ ได้แก่ 1. ท้าทายและลดทอนความเชื่อเดิม ผ่านการตั้งคำถามกับตัวเองว่า ความเชื่อในตอนนี้ฉุดรั้งและปิดกั้นตัวเรายังไงบ้าง 2. นำเสนอความเชื่อใหม่ขึ้นมาแทน ผ่านการตั้งคำถามว่า อะไรคือความเชื่อที่เราจะยอมรับเข้ามาและเป็นตัวที่จะเสริมแรงให้เราทำในสิ่งที่เราต้องการให้สำเร็จ และ 3. เสริมสร้างพลังให้ความเชื่อใหม่อยู่เสมอ โดยเราต้องตอบตัวเองว่าจะทำอย่างไรให้ความเชื่อใหม่ฝังลึกอยู่ในตัวตนของเราแทนที่ความเชื่อเดิม
16. นอกจากการอ่านหนังสือเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การเปลี่ยนแปลงของคนเราเริ่มต้นขึ้นได้ด้วยการซ้อมดำเนินชีวิตรูปแบบใหม่ ชีวิตในอุดมคติของเรา ให้ลองนึกถึงวันที่เราสมบูรณ์แบบที่สุดว่าเราต้องเป็นคนยังไง จินตนาการถึงมันซ้ำๆ จิตใจของเราจะตอบสนองเหมือนกับว่ามันเกิดขึ้นในความจริงแล้ว เมื่อจิตใจเราพร้อม ร่างกายจะตอบสนองด้วยการกระทำต่อไปเป็นลำดับ สิ่งสำคัญคือเราต้องลดช่องว่างระหว่างสิ่งที่เราเป็นอยู่กับสิ่งที่เราต้องการจะเป็นโดยการใช้ชีวิตตามตัวตนใหม่ของเรา
17. วงจรความคิดของคนที่เป็นผู้ชนะเริ่มจากการมองหาบุคคลผู้ประสบความสำเร็จเป็นต้นแบบ สร้างแผนที่เส้นทางสู่ความสำเร็จ และนำแผนการนั้นไปปฏิบัติจริงโดยปรับปรุงเพิ่มเติมผ่านความเหลวไปจนกว่าจะถึงเส้นชัย โดยความเชื่อที่ต้องมีคือ ความสำเร็จไม่ใช่โชคหรือวาสนา แต่ความสำเร็จเป็นผลของความมุ่งมั่น เสียสละอุทิศตน การเตรียมความพร้อมตลอดเวลา ความสม่ำเสมอ และความปรารถนาที่จะไล่ตามความฝัน

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้คนทุกคนไม่ประสบความสำเร็จเหมือนกันสาเหตุหลักคือ “ความกลัว” คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่ทำสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ เพราะกลัวเสียหน้า กลัวคำวิจารณ์ และกลัวถูกปฏิเสธ
18. เราคือผู้สร้างประสบการณ์ทุกอย่างของเราเอง ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม ชีวิตคือการออกแบบตัวตน และสภาพแวดล้อมรอบตัวด้วยมือเราเอง ดังนั้นเราคือผู้รับผิดชอบชีวิตของเรา ผลลัพธ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราต้องยอมรับมัน แต่คนส่วนใหญ่มักปัดความรับผิดชอบเมื่อเจอสถานการณ์ในทางลบ เขามักจะโทษสิ่งอื่น หรือเชื่อมโยงความรับผิดชอบไว้กับความผิดหรือการกล่าวโทษ ทั้งนี้ การโทษตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี มันจะทำร้ายเรา สิ่งที่ดีคือการยอมรับในผลลัพธ์นั้นๆ เพราะเข้าใจว่าเรามีอำนาจที่จะควบคุมมัน
19. อย่าเสียเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปกับการเสียใจหรือกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต เราควรเอาประสบการณ์ในอดีตมาถอดบทเรียนและใช้พวกมันขับเคลื่อนชีวิตของเราไปข้างหน้าจากปัจจุบันไปสู่อนาคต สิ่งที่เราควบคุมมันได้คือ ปัจจุบัน ส่วนอดีตและอนาคตเป็นเพียงความทรงจำและจินตนาการ
20. กระบวนการเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จ เมื่อเราวางแผนของเราชัดเจน มีกระบวนการต่างๆชัดเจนแล้ว เราต้องเชื่อมั่นในกระบวนการนั้นและปล่อยให้มันค่อยๆดำเนินไป หรือพูดง่ายๆก็คือ เราต้องมีวินัยและปฏิบัติตามกระบวนการที่วางไว้ เมื่อเจอความผิดพลาดมันคือบทเรียนล้ำค่าที่ให้เราเพื่อแก้ไขปรับปรุงกระบวนการของเราต่อไป ในขณะที่คนส่วนใหญ่ที่ล้มเลิกไปก่อนเพราะต้องการชัยชนะมากเกินไป หรือรีบเกินไป จนข้ามขั้นตอนสำคัญหลายๆขั้นตอนไป จึงนำมาสู่ความล้มเหลว และคนเหล่านี้จะไม่มองว่าการพ่ายแพ้เป็นบทเรียน
21. อย่ากลัวการทำผิด เพราะมันคือความเชื่อที่จะทำให้เราไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จอะไรได้เลย ทุกความผิดพลาดมีบทเรียนซ่อนอยู่เพื่อให้เราได้รับความรู้และโอกาสในการปรับปรุงแก้ไขมัน เมื่อใดก็ตามที่เราพบกับความล้มเหลว ธรรมชาติกำลังพยายามบอกเราว่า เรายังไม่ได้ทำสิ่งที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จ แต่มันไม่ได้บอกว่าเราทำสิ่งนั้นไม่ได้
22. เราทุกคนต้องเผื่อใจไว้สำหรับวันที่ไม่เป็นใจ เมื่อเรามีความคิดที่ถูกต้องแล้ว การที่เราทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการ แต่เราต้องเผื่อใจไว้สำหรับความพ่ายแพ้ ความผิดหวัง หรือวันที่ไม่เป็นใจบ้าง และเข้าใจว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราต้องเจอ คือด่านหนึ่งที่เราต้องผ่านมันไปให้ได้ น้อมรับและขอบคุณช่วงเวลาเหล่านั้น
23. มโนภาพสมมติต่อตัวเราในระดับจิตใต้สำนึกเป็นตัวกำหนดความสามารถของเราที่แสดงออกมา สิ่งที่เราคิดว่าเราสามารถทำได้ (มโนภาพสมมุติ) ซึ่งมันอาจจะแตกต่างกับสิ่งที่เรามีความสามารถที่จะทำได้จริงๆ (ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา) เราต้องลดช่องว่างของสองสิ่งนี้ให้ได้มากที่สุด เช่น หากคุณเป็นคนที่บอกกับตัวเองมาตลอดว่า “ฉันขอยอมแพ้ต่อแรงกดดัน” ความเชื่อนั้นจะกลายเป็นจริง แต่ถ้าคุณเป็นมีความคิดแบบผู้ชนะ คุณคงจะบอกกับตัวเองว่า “ฉันสามารถแสดงความสามารถได้ดีที่สุดภายใต้แรงกดดัน” เรื่องมโนภาพสมมุติจึงสำคัญมากกับความสำเร็จของเรา
คำแนะนำของ Mark: เราควรมีมโนภาพสมมุติเกินกว่าความสามารถจริงที่เรามี และศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของเราจะพัฒนาดึงดูดมันมันเข้าหากันจนเรากลายเป็นคนในระดับสุดยอดแบบที่เราเชื่อตลอดมา
24. ทักษะหนึ่งที่สำคัญในการประสบความสำเร็จคือ การควบคุมไม่ให้ตัวเองมีอารมณ์อ่อนไหวมากเกินไปกับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เอาคำถามที่ว่า “ทำไมเราไม่ทำให้ดีกว่านี้” ออกจากหัวของเราไป แล้วมาสนใจว่า เราได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วบ้าง และมองผลลัพธ์อย่างเป็นกลาง รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับ เพราะถ้าเรามีอารมณ์พลุ่งพล่านในตัวเรามากเท่าไหร่จากความล้มเหลว มันจะเป็นการตอกย้ำลงในจิตใต้สำนึกของเรา และเพิ่มโอกาสในการทำผิดพลาดซ้ำอีกครั้ง
25. ในทางตรงกันข้าม เมื่อไหร่ก็ตามที่เราแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้ดี เราต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำกับความสำเร็จ สร้างกิจวัตรการเฉลิมฉลองของตัวเองให้กับร่างกายและจิตใจ เช่น ใช้คำพูดกับตัวเองว่า “ตัวเรามันต้องอย่างนี้สิ!” หรือแสดงออกท่าทางอะไรบางอย่าง เพื่อเสริมพลังบวกให้กับตัวเอง เป็นต้น ถ้าเราละเลยขั้นตอนนี้ไป จะเป็นการด้อยค่าความพยายามของตัวเอง และไม่ได้เสริมพลังบวกให้กับสิ่งที่เราทำ
26. เทคนิคอีกอย่างหนึ่งสำหรับการสร้างเสริมพลังเชิงบวกคือ การให้รางวัล เป็นการนำเป้าหมายที่สูงขึ้นมาผสมเข้ากับกับการเสริมสร้างพลัง กล่าวคือ เราจะให้รางวัลกับตัวเองทุกครั้งที่เราทำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงแรกเราควรให้รางวัลตัวเองเป็นระยะๆตามระดับความก้าวหน้าของเรา สิ่งสำคัญของเทคนิคนี้คือ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการให้รางวัล (เป็นเทคนิคที่ใช้กันแพร่หลายในแวดวงกีฬาระดับโลก)
27. ตลอดเส้นทางของเราในการไปสู่เป้าหมาย เราควรจดบันทึกชัยชนะของเราไว้ตลอดทาง อาจจะเขียนบันทึกลงในสมุดง่ายๆเกี่ยวกับความสำเร็จของเรา มันจะเป็นคลังข้อมูลที่ช่วยส่งเสริมให้เรามีความนับถือในตัวเอง ทั้งนี้ เราอาจจะแปะภาพถ่าย แนบคลิปหรือทำอะไรก็ได้ให้เรานึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น เวลาที่เราจะทำการใหญ่ ให้เรามาเปิดดูสมุดบันทึกเล่มนี้อ่านซักหนึ่งรอบก็จะเพิ่มความมั่นใจของเราให้พร้อมลงสนามแล้ว
28. เมื่อใดก็ตามที่เราให้คำมั่นสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะทำอะไรให้สำเร็จ สิ่งที่เราต้องทำคือปฏิบัติตามสิ่งที่เราพูดไว้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน แม้ว่าความตื่นเต้นและความปีติยินดีจะได้จืดจางลงไปแล้วก็ตาม เมื่อถึงจุดนั้นเราจะเข้าใจว่ามันต้องใช้ความพยายามและอุทิศตนมากขนาดไหนเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างหนึ่งให้สำเร็จ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราปฏิบัติตัวเช่นนั้นได้คือ “ความคาดหวัง” เหมือนดังคำพูดของ ไมเคิล จอร์แดนที่ว่า “คุณต้องคาดหวังสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นกับตัวคุณก่อนที่คุณจะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั้นได้”
29. เส้นทางไปสู่เป้าหมายนั้นยาวไกล เมื่อเรายอมรับทุกอย่างในระหว่างทางเดินว่าเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นของกระบวนการแล้ว เราจะเลิกมองความผิดพลาด ความล้มเหลว หรือความพ่ายแพ้และมองว่าเป็นเหตุผลในการล้มเลิก แต่เราจะเริ่มเห็นว่าความพ่ายแพ้เหล่านั้นเป็นขั้นตอนสำคัญและโอกาสที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
30. สำหรับ Mark ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจะมาเมื่อเราตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะลืมเรื่องของผลลัพธ์ และจดจ่ออยู่กับการทำให้ดีที่สุดที่เราจะทำได้ (กระบวนการ) จากนั้นความสำเร็จก็จะตามมา แต่คนส่วนใหญ่มองกลับข้างกัน คนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการที่ถูกต้อง จึงทำให้ไม่เข้าใกล้ความสำเร็จ
31. เทคนิคอย่างหนึ่งที่เอามาช่วยให้ความตั้งใจของเราอยู่คงเส้นคงวาตลอดเส้นทางคือ “ปรากฏการณ์อีกนิดนึงก็ถึงแล้ว” กล่าวคือ เราต้องหาอะไรก็ตามที่มาใช้เป็นเหมือนเกณฑ์ในการประเมินว่าเราเหลือสิ่งที่ต้องทำอีกเท่าไหร่ในการไปถึงเป้าหมาย เช่น อะไรที่ผ่านไปแล้วอาจจะทำสัญลักษณ์สีเขียว เราจะเห็นว่าเราวิ่งมาได้ไกลแค่ไหนแล้วจากจุดเริ่มต้น มันจะช่วยเสริมกำลังใจและสร้างแรงจูงใจให้กับเราเพื่อวิ่งไปให้ถึงปลายทาง รวมถึงการสร้างความได้เปรียบตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วย (แม้จะเป็นความได้เปรียบปลอมๆก็ตาม)
32. เราจะสร้างความคาดหวังได้อย่างไร? เทคนิคหนึ่งที่ Mark แนะนำคือ “การย้อนเวลาหาความสำเร็จในอดีต” กล่าวคือ เราทุกคนล้วนมีความสำเร็จในอดีตด้วยกันทั้งนั้น เราสามารถเอามันมาใช้ประโยชน์ในการสร้างความคาดหวังของเราได้ ด้วยการเชื่อมโยงประสบการณ์ในอดีตและอารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้นเพื่อเป็นแรงผลักดันให้เราไปถึงเป้าหมาย ทุกครั้งที่เราต้องการความมั่นใจ หรือพลังในเชิงบวก ให้เราคิดและรู้สึกถึงประสบการณ์เหล่านั้น

วิธีการที่ Mark ปฏิบัติคือ ให้เราอยู่สถานที่สงบปราศจากสิ่งรบกวน หายใจเข้าลึกๆทางจมูก แล้วหายใจออกทางปาก เมื่อเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ให้ปฏิบัติตาม 3 ขั้นตอน ได้แก่
1.) ให้นึกย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่คุณทำบางสิ่งบางอย่างได้ดีกว่าปกติ อาจย้อนกลับไปสมัยที่คุณยังเป็นเด็ก หรืออะไรก็ได้
2.) หลับตาลงและพาตัวคุณเข้าไปในความทรงจำนั้น ให้รู้สึกว่าเรารู้สึกอย่างไร นึกถึงรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะจำได้ ภาพ เสียง รส กลิ่น ทุกๆอย่างที่เราเคยได้สัมผัส และ
3.) หายใจลึกๆ เพื่อทำให้เราผ่อนคลายและสะกดสมาธิให้หยุดนิ่ง
ทำทั้งสามขั้นตอนนี้เป็นเวลาครั้งละ 15-30 นาที เพื่อฝึกเสริมพลังให้กับตัวเรา
33. บุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ไม่ว่าในด้านใดก็ตาม ล้วนมีทัศนคติแบบเดียวกัน คือ พวกเขาจะทำมันไปจนกว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นหรือไม่ยอมตายไปพร้อมกับความพยายามนั้น การล้มเลิกไม่เคยเป็นทางเลือก ระดับความเข้มข้นของความทุ่มเทและการยึดมั่นคำสัญญาเหมือนกันแทบทุกคน ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่หรือคนทั่วไปที่ไม่ได้สัมผัสความสำเร็จไม่ได้มาจากการที่คนเหล่านั้นไม่มีความสามาถ แต่มันมาจากการที่คนเหล่านั้นขาดความมั่นใจในความสามารถของตนเอง จนล้มเลิกยอมแพ้ไปก่อน
34. เราควรมีทัศนคติที่ให้ความสำคัญกับทุกย่างก้าวของเราในการไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ พูดง่ายๆก็คือ เราควรให้น้ำหนักกับความสำเร็จเล็กๆตลอดเส้นทาง เพราะเราเชื่อว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มันไม่ได้มาแค่ชั่วพริบตา เราเลยไม่ได้เร่งเพื่อให้มันเกิดขึ้นทันทีที่เราตัดสินใจจะเริ่มทำอะไรใหม่ๆ แต่สิ่งที่เราควรทำคือ แบ่งส่วนของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ออกเป็นรายการหรืองานย่อยๆ ที่ต้องทำเป็นขั้นตอน และค่อยๆก้าวไปทีละขั้น ในระยะสั้นเรายังคงอยู่บนเส้นทางที่เราตั้งใจเพื่อไล่ตามจุดมุ่งหมายในระยะยาว
35. ตรวจสอบความมุ่งมั่นและความทุ่มเทต่อสิ่งที่เป็นเป้าหมายของเราว่าอยู่ในระดับใด โดย Mark แบ่งคนออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่
1. ระดับของการมีส่วนร่วม คนในกลุ่มนี้มีเป้าหมายหลักในการมีช่วงเวลาดีๆ ซึ่งถ้าต้องทำมันมากเกินไป จะเริ่มหมดสนุก แล้วล้มเลิกไป
2. ระดับของการเรียนรู้ ทุกคนจะเริ่มต้นด้วยระดับขั้นนี้สำหรับกิจกรรมใหม่ พร้อมเรียนรู้พื้นฐานความรู้ที่ถูกต้อง เพราะมันเป็นสิ่งแปลกใหม่ทั้งหมด สิ่งสำคัญในการก้าวไปอีกขั้นคือ เราต้องเรียนรู้พื้นฐานและฝึกจนเชี่ยวชาญ
3. ระดับของการแข่งขัน เราจะมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น เริ่มเข้าแข่งขันหรือแสดงบนเวทีบ้าง มีตารางฝึกซ้อม กำหนดวินัยต่างๆเพื่อปฏิบัติตามชัดเจน มี mentor ช่วยประเมินความสามารถของเราให้พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ
4. ระดับของการคว้าชัยชนะ เป้าหมายจะไม่ใช่แค่เข้าร่วม แต่เพื่อชัยชนะเท่านั้น เต็มใจจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ ระดับความเข้มข้นของทุกสิ่งที่ต้องทำจะอยู่ในระดับเข้มข้นมากที่สุดทุกอย่าง ไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่เพื่อชัยชนะเท่านั้น การฝึกซ้อมจะเป็นตารางเวลาที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่การฝึกซ้อมตามความอยากของเราเท่านั้น หรือก็คือระดับของการ “ทุ่มหมดหน้าตัก”
36. Mark ยกประโยคหนึ่งของ Thomas Edison มากล่าวไว้ว่า “หลายครั้งที่ความล้มเหลวในชีวิต เกิดมาจากการที่ไม่ได้ตระหนักว่าพวกเขาเข้าใกล้ความสำเร็จมากขนาดไหนแล้วในตอนที่พวกเขาแพ้” หลายคนยอมแพ้ก่อนที่จะขึ้นถึงจุดสุดยอด อีกแค่เพียงนิดเดียว แต่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขอแค่ความพยายามอีกนิด ก็จะถึงเป้าหมายแล้ว ดังนั้นในเวลาที่เราเจอความยากลำบาก จงทุ่มเทและทำตามคำสัญญาเดิมที่ให้ไว้กับตัวเอง
37. ทฤษฎี butterfly effect เป็นการอธิบายได้ว่า ทุกการตัดสินใจของเราล้วนมีความสำคัญไม่มากก็น้อย เมื่อใดก็ตามที่เราตัดสินใจจนเกิดผลในทางบวกหรือลบ ผลกระทบมันจะแพร่กระจายออกไปถึงทั้งคนรอบตัวหรือคนที่ห่างออกไปด้วย การตัดสินใจของเราในวันนี้มีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่มากกว่าที่เรามองเห็นได้ในปัจจุบันหรือไม่อาจคาดเดาได้เลย ดังนั้นเราต้องให้ความสำคัญกับทุกการตัดสินใจและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเราเองเสมอ
38. แม้คนเราจะตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่จะตัดสินใจในเรื่องเล็กๆ ตลอดทั้งวัน แต่การตัดสินใจบางครั้งก็ยิ่งใหญ่จนถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตของเราได้ แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว มีการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่มากมายที่ไม่เคยทำได้สำเร็จ ทั้งที่รู้ว่าต้องทำ หรือควรจะทำอะไร แต่ไม่เคยลงมือทำจริงซักที เหตุผลของมันคือ เราไม่เคยอยู่ในจุดที่ต้องตัดสินใจแบบเด็ดขาด กล่าวคือ การตัดสินใจนั้นจะต้องเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายและลงมือทำตามสิ่งที่คิดเอาไว้ตลอดมา สาเหตุที่ก่อนหน้านั้นเราไม่ทำอาจเป็นเพราะเรายังไม่รังเกียจหรือเจ็บปวดมากพอหรือเราอาจจะยังไม่ถึงจุดตกต่ำจนถึงขีดสุดกับตัวเอง จุดที่บีบบังคับให้เราต้องตัดสินใจทำ จุดที่เบื่อหรือเหนื่อยกับตัวเองที่ต้องเป็นแบบนี้ หรือจุดที่เราต้องการสิ่งนั้นมากแบบเอ่อล้น จนทนที่จะไม่ตัดสินใจทำสิ่งที่คิดนั้นได้อีกต่อไป แต่หันมาเป็นการลงมือทำทันที
39. ถ้าต้องการจะประสบความสำเร็จ จะมีแค่คำว่า ทำ หรือไม่ทำ เราต้องลบทำว่า “จะลองทำ” ออกไปจากสมองของเรา และตัดสินใจที่จะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร และยอมรับในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา100% ว่าเราคือต้นเหตุของผลลัพธ์ทั้งหมด ถ้ามันไม่ได้เรื่อง เราแค่ต้องเปลี่ยนวิธีการ ทำให้มันแตกต่างออกไป และผลลัพธ์จะเปลี่ยนไปเอง เพราะคนที่พูดว่าจะลองทำ… มักจะจบลงด้วยการไม่ได้ทำ และไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
40. อย่าเอาแต่รอเวลาที่เหมาะสมที่สุด หรือเวลาที่พร้อมที่สุด เพราะเราอาจจะไม่ได้ลงมือทำมันเลยก็ได้ บ่อยครั้งที่คนชอบพูดว่า “จะลงมือทำเมื่อทุกอย่างพร้อม” มันอาจจะไม่มีวันนั้นเลยก็ได้ ยิ่งเราเลื่อนเวลาออกไปนานมากเท่าไหร่ มันยิ่งง่ายที่มันจะถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นความกลัวที่จะลงมือทำและความสงสัยมันจะเกิดขึ้นในหัวของเราอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นจงลงมือทำมันเดี๋ยวนี้ อย่างน้อยการลงมือทำบางอย่างโดยไม่สมบูรณ์แบบ ย่อมดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย ออกเดินทางก้าวเล็กๆ ดีกว่าการหยุดนิ่งอยู่กับที่ ยังไงแล้วเราก็ต้องเจอกับความผิดพลาดและเรียนรู้จากมัน ยังดีกว่าการที่เราไม่ได้เจออะไรและไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
41. เมื่อเราอยู่บนทางแยกที่จะต้องตัดสินใจ ให้เราถามกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่ลงมือทำ มีอะไรที่เราต้องสูญเสียไปบ้าง ทั้งสุขภาพ การเงิน ความสัมพันธ์ หน้าที่การงาน ความนับถือตนเอง ความสนุก ความสุข และอิสรภาพ? ใช้ความเจ็บปวดจากการไม่ลงมือทำมาเสริมแรงให้เราทำมัน
42. ไม่ว่าเราจะอยากเริ่มนิสัยใหม่อะไรบางอย่าง จงจำไว้ว่าเราต้องทำให้มันเป็นกิจวัตรเหมือนกับการแปรงฟันในทุกเช้า ที่ต้องทำโดยอัตโนมัติและไม่ตั้งข้อสงสัย มันจะเป็นกิจกรรมที่เราต้องทำทุกวันในรายการอื่นอีกมากมาย และไม่ต้องใช้ความพยายามอีกต่อไป เช่น ทำการเขียนบันทึกการเทรดให้เป็นกิจวัตร เป็นต้น
43. หลักการอีกข้อที่ควรนำมาใช้คือ “ตามหาวิชา ไม่ใช่มองหาคำแนะนำ” โดย Mark แนะนำหลักการ 3 ประการ ได้แก่
1. ตามหาวิชา หรือสิ่งที่จะบอกเราว่า “ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าต้องทำอะไร” และเลี่ยงคำแนะนำหรือสิ่งที่มาบอกว่า “เราต้องทำอะไร” ถ้าเราพึ่งพาแต่คำแนะนำ เราจะต้องการคำแนะนำไปตลอด แต่ถ้าเราพึ่งวิชา มันจะทำให้เราเรียนรู้วิธีที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในแนวทางที่เราเลือกได้
2. หลีกเลี่ยงทุกอย่างที่ทำให้เราอ่อนแอ หลีกเลี่ยงผู้คนที่มีพลังลบที่มีแนวโน้มจะแพร่ขยายมาถึงเรา และ
3. มองหาคนที่เก่งกว่าเรา มีทักษะมากกว่าเราและพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จมากกว่าเรา และใช้กฎ 2:1 คือ ฟังมากกว่าพูดเท่าหนึ่งเสมอ และถ้าจะพูดให้พูดเฉพาะการตั้งคำถามแทนการพิสูจน์ตัวเอง
44. สร้างทีมบริหารของเราเอง แต่ทีมบริหารในที่นี้ไม่ได้หมายถึงทีมบริหารในการก่อตั้งบริษัท ความหมายในที่นี้คือคนที่เราเลือกสรรค์มาให้มีอิทธิพลต่อมุมมองความเชื่อของเรา และวิธีการที่เราจะไปสู่เป้าหมาย โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีความผูกพันใดๆกับพวกเขาเหล่านั้นมาก่อนเลย เราสามารถเลือกได้ทั้งที่เขาอนุญาตและไม่อนุญาต ทีมบริหารของเราจะเป็นแหล่งเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจ เช่น เลือกหนังสือ Youtube คอร์สเรียนออนไลน์ หรือ Blog ของใครก็ตาม เพื่อให้มาเป็นทีมบริหารของเรา เป็นต้น
45. คนที่ประสบความสำเร็จจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่พวกเขากำลังไล่ตามอยู่เป็นอันดับแรก เราต้องจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆในชีวิต ตั้งคำถามว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรากันแน่?
46. อยากสำเร็จต้องมีเป้าหมาย เป็นคำพูดที่เรามักได้ยินบ่อยๆ Mark ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเป้าหมายไว้ว่า เป้าหมายต้องยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ตั้งไว้ต่ำจนเกินไป และถ้าเรายิ่งกำหนดรายละเอียดและเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเป้าหมายมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสในความสำเร็จได้มากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ การตั้งเป้าหมายยังแบ่งย่อยลงไปได้ 3 ลำดับคือ 1. ตั้งเป้าหมายที่กระบวนการ 2. ตั้งเป้าหมายที่ประสิทธิภาพ และ 3. ตั้งเป้าหมายที่ผลลัพธ์
46.1) การตั้งเป้าหมายที่กระบวนการเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการตั้งเป้าหมาย เพราะถ้าเรามีกระบวนการที่ถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้นตามมาได้เอง (เป็นการกำหนดแนวทางที่จะนำไปสู่จุดหมาย เป็นกรอบ Framework)
46.2) การตั้งเป้าหมายที่ประสิทธิภาพ อาจจะเป็นการเพิ่มตัวเลขที่เฉพาะเจาะจงเพื่อวัดประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ควรกำหนดให้ชัดเจน ยิ่งเป็นตัวเลขหรือสถิติได้ยิ่งดี สำคัญคือมันต้องท้าทายขีดความสามารถของเราด้วย ต้องสูงกว่าศักยภาพที่เราคิดว่าจะทำได้ในตอนนี้
46.3) การตั้งเป้าหมายที่ผลลัพธ์ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ชอบทำกัน แต่จะมีแค่เป้าหมายในระดับนี้ยังไม่พอที่จะเสริมพลังให้เกิดความสำเร็จได้
47. เทคนิคอีกอย่างหนึ่งในการบริหารเวลาเพื่อไล่ตามเป้าหมายของเราคือ การกำหนดตารางเวลา ชั่วโมงการทำงานของเราจะถูกกำหนดไว้ในตารางเวลาแบบชัดเจนในแต่ละวัน จันทร์-อาทิตย์ และระบุเจาะจงถึงเวลาในแต่ละวันว่าจะทำอะไรกับใครเป็นจำนวนเวลาที่แน่นอน สิ่งสำคัญคือเมื่อเรากำหนดตารางเวลาแล้ว จะต้องไม่มีสิ่งอื่นเข้ามากีดขวาง หรืออนุญาตให้มีการเบี่ยงเบนความสนใจ กฎข้อสำคัญคือ อย่าละเมิดตารางเวลา!
48. เทคนิคอีกอย่างหนึ่งของ Mark คือ “ศาสตร์แห่งการเขียนไวท์บอร์ด” กล่าวคือ Mark แนะนำให้มีกระดานไวท์บอร์ดขนาดใหญ่ในห้องทำงานของตัวเอง โดยให้เราเขียนเป้าหมายตัวโตลงไป รวมถึงเขียนแนวความคิดและแผนการทั้งหลายที่เรากำลังจะทำลงไปด้วย วัตถุประสงค์ของการใช้เทคนิคนี้คือ เราจะได้เห็นเป้าหมายของเราบ่อยครั้งเท่าที่จะเป็นไปได้ ตั้งแต่เป้าหมายเล็กไปจนถึงใหญ่ จะได้เกิดพลังในทุกวัน
49. สภาพแวดล้อมเป็นที่เราควรให้ความสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราต้องการจะเป็นคนที่แตกต่าง เราต้องพาตัวเองไปคลุกคลีหรืออยู่กับบุคคล สถานที่ หรือสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้เราเป็นคนแบบที่เราอยากเป็น ลดเวลากับสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจ เริ่มจากการลองตั้งคำถามดูว่าเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเราใช้ไปกับใคร และเขาเหล่านั้นมีความเชื่อมโยงหรืออิทธิพลในทางบวกต่อเป้าหมายของเราหรือไม่ ผลลัพธ์ของคนส่วนใหญ่จะไม่มีความเชื่อมโยงมากเท่าไหร่นัก แค่นี้เราก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไรต่อไปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างไปจากเดิม
50. พลังของการตั้งคำถามว่า ทำไม? จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องพิจารณาคำถามว่า ทำไมเราจึงทำสิ่งนี้? เพื่อให้เราได้ไตร่ตรองกับตัวเองถึงเหตุผลที่เราต้องจ่ายเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเราเพื่อแลกกับผลลัพธ์ที่เราคาดหวัง โดย Mark แนะนำเพิ่มเติมอีกว่า ทุกวันหลังตื่นนอน เขาจะเริ่มต้นด้วยคำถามว่า “วันนี้เราจะทำอะไรเพื่อให้เข้าใกล้เป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น?” และก่อนนอน จะถามตัวเองว่า “วันนี้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง และจะนำสิ่งที่เพิ่งได้เรียนรู้ไปใช้ให้เข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้นในวันพรุ่งนี้ได้อย่างไร?” จะดีมากถ้าเราตั้งคำถามกับตัวเองทุกวันและบันทึกมันลงในสมุดจดบันทึก
ท้ายที่สุดนี้ผมอยากทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคหนึ่งในหนังสือท่อนหนึ่งที่น่าเอาไปคิดต่อกันครับ

“บนเส้นทางที่มุ่งสู่ความยิ่งใหญ่ รางวัลที่แท้จริงคือเรื่องราวระหว่างการเดินทางนั่นเอง”

Steve

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when THUS posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Videos

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Videos
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Event Planning Service?

Share