เอาเธอมาถีบ (Thai Alternative Lovers)

เอาเธอมาถีบ (Thai Alternative Lovers) "ชีวิตคนเรามันก็ต้องมีทางเลือกบ้าง

เบื่อกันบ้างไหม? เดี๋ยวนี้ที่ไหนๆก็เปิดแต่เพลงฮิปฮ็อป เพลงเกาหลี เฮ้อเธอ... เชิญชวนเพื่อนๆที่รักเพลง Alternative / Modern Rock / Indie (หรือเพลงดีๆ เท่ๆ แนวๆ ไม่ว่าจะไทยจะเทศ) มามะมาจอยกันดีกว่า ^ ^

::Page Editors::
- Lbert J.
- Torphong K.
- Warat S.
- มิสเต๋อ ไบร้ท์ไซร้

คอนเสิร์ตปีหน้าของ OASIS ที่ออสเตรเลีย มีเพิ่มรอบhttps://www.facebook.com/photo?fbid=1092877022196512&set=a.278438086973...
13/10/2024

คอนเสิร์ตปีหน้าของ OASIS ที่ออสเตรเลีย มีเพิ่มรอบ
https://www.facebook.com/photo?fbid=1092877022196512&set=a.278438086973747

🚨REGISTER FOR THE AUSTRALIAN 2025 TOUR PRE-SALE BALLOT 🚨
A ticket pre-sale will be held on Monday 14th October. Entry is by private ballot only.
Ballot registration is open now and closes 8am AEDT tomorrow, Wednesday 9th October.

Register here: https://OasisMusic.lnk.to/presaleau
Please note success in the ballot will not guarantee tickets.

Dates:
31st October - Marvel Stadium, Melbourne
7th November - Accor Stadium, Sydney

TOP READ ของเพจในปีนี้ OASIS นำ BLUR เล็กน้อย 5555ช่วงนี้แอดเบิทขอพักไปเคลียร์งานก่อนนะ ไว้ถ้าเมื่อไหร่ว่าง ๆ อีก จะพยาย...
11/10/2024

TOP READ ของเพจในปีนี้
OASIS นำ BLUR เล็กน้อย 5555

ช่วงนี้แอดเบิทขอพักไปเคลียร์งานก่อนนะ ไว้ถ้าเมื่อไหร่ว่าง ๆ อีก จะพยายามมาเขียน Big4 ให้ครบเลย (ยังขาด SUEDE กับ PULP)

แปะลิ้งไว้ด้วย เผื่อใครตกหล่น ยังไม่ได้อ่าน
1) รู้จัก ‘Paul Gallagher’ ตั้วเฮีย และ Wonderlwall ของสองพี่น้อง OASIS
https://www.facebook.com/Thai.Alternative.Lovers/posts/pfbid0RMXaFgJd4pVin3ZSafpU48n9YGczZPvFdVWD85kaXJcpMR5zvaeXZMEcna1aMZAGl

2) "Oasisters (Oasis' Fangirls) - เอฟซีสาววัยใส หัวใจยุค 90's"
https://www.facebook.com/Thai.Alternative.Lovers/posts/pfbid0yuSeoCQbnzJQnhBNXxSJjSGnyarJ3WxsyMTMcM7xz9d69JhXAbNHV7Shwotizpaql

3) อัลบั้มที่พลิกสถานะ BLUR จากดาวรุ่งสู่ตำนาน
https://www.facebook.com/Thai.Alternative.Lovers/posts/pfbid05xmnkQHjneaeT3gkCUukqeVcUCAkNNGM8cxE4BPa4smNW9ix9kAWcGgakw4Pxjgwl

4) Blur กับจุดกำเนิด Britpop
https://www.facebook.com/Thai.Alternative.Lovers/posts/pfbid0Tr8361aEEFqCY3RNEksL4fs9G3zLyvPCGVJFWcYRsfSfj9LHCwEeQPNjGbE75vfyl

  อัลบั้มที่พลิกสถานะ BLUR จากดาวรุ่งสู่ตำนาน     ‘Parklife’ สตูดิโออัลบัมลำดับที่ 3 ของสี่หนุ่มลอนดอนวง BLUR วางตลาดเมื...
04/10/2024

อัลบั้มที่พลิกสถานะ BLUR จากดาวรุ่งสู่ตำนาน

‘Parklife’ สตูดิโออัลบัมลำดับที่ 3 ของสี่หนุ่มลอนดอนวง BLUR วางตลาดเมื่อวันที่ 25 เมษายน 1994 และกลายเป็นผลงานสร้างชื่อที่ได้ทั้งเงินและกล่อง โดย Parklife เปิดตัวอันดับ 1 ใน UK Albums Chart และเฉือนชนะ OASIS คว้ารางวัลอัลบัมยอดเยี่ยมจากเวที Brit Awards ในปี 1995
BLUR ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม จนถูกยกให้เป็นหนึ่งใน ‘Big Four’ (จตุรเทพแห่งบริทป็อบ) ที่นำดนตรีและวัฒนธรรมอังกฤษไปประกาศศักดาทั่วโลก

#วิเคราะห์เพลงจริงจัง
ถ้าให้ผู้เขียนสรุปปัจจัยที่ทำให้ BLUR ประสบความสำเร็จกับ ‘Parklife’ คงจะแบ่งออกเป็น 3 ข้อ ได้แก่
(1) ความกล้าที่จะเปลี่ยน - โดย Parklife เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของ BLUR ที่กล้าฉีกออกจากกรอบเดิม ๆ เป็นอัลบั้มที่มีซาวด์ดนตรีหลากหลาย แตกต่างจากผลงาน 2 ชุดแรก รวมถึงการที่ BLUR เป็นหนึ่งในหัวหอกที่นำซาวด์ Britpop (บริทป็อบ) ไปต่อกรกับ Grunge (กรันจ์) ที่กำลังเป็นผู้นำเทรนด์ในยุคนั้น
(2) การตกผลึก – BLUR ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ตั้งแต่ออกอัลบัมแรก ‘Leisure’ ในปี 1991 จนถึงอัลบัมที่สาม ‘Parklife’ ในปี 1994 เรียกว่าบ่มเพาะจนได้ที่ มีการเติบโตทั้งในแง่วิธีคิด ฝีมือการแต่งเพลง การนำเสนอ (การตลาด และภาพลักษณ์วง) ซาวด์ดนตรีค่อย ๆ มีการวิวัฒน์จนมาถึงจุดลงตัว เริ่มมีลายเซ็นที่ชัดเจน
(3) จังหวะเวลา – ในช่วงต้นยุค 1990 ตลาดเพลงยุโรปถูกกลืนด้วยดนตรี Eurodance ขณะที่ตลาดเพลงอเมริกากำลังท่วมท้นไปด้วยดนตรี Grunge การแทรกซึมของ Britpop ที่เป็นส่วนผสมอันลงตัวระหว่างซาวด์ดนตรี Pop และ Rock จึงเป็นการมาที่ได้จังหวะพอดี (นอกจากนี้ อาจอิงตามทฤษฎี “วัฎจักร 30 ปี” หรือ 30 Years Cycle ที่ครั้งหนึ่งดนตรีอังกฤษเคยเป็นเบอร์หนึ่งในยุค 1960 และกลับมาผงาดอีกครั้งในยุค 1990)

#ล้มลุกคลุกคลาน
เชื่อหรือไม่? “ฝันร้ายในอเมริกา” อาจเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้ BLUR เปลี่ยนทิศทางไปสู่แนวบริทป็อบ การทัวร์คอนเสิร์ต 3 เดือนในอเมริกาเมื่อปี 1992 จบลงอย่างน่าผิดหวัง ในช่วงเวลาดังกล่าว แฟนเพลงในอเมริกากำลังอินกับดนตรีกรันจ์ และไม่ค่อยให้การตอบรับกับดนตรีของ BLUR สักเท่าไหร่ บรรยากาศที่ย่ำแย่ทำให้สมาชิกเมามายและทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ มันกลายเป็นประสบการณ์ด้านลบที่ทำให้พวกเขาเกลียดชังทุกสิ่งอย่างที่เป็นอเมริกาแบบฝังใจ
พวกเขาคิดถึงบ้านแบบจับใจ โดยเฉพาะฟรอนท์แมน เดมอน อัลบาร์น ที่โหยหาความเป็นอังกฤษ เขาเล่าว่า...
“ในระหว่างทัวร์ที่อเมริกา ช่วงเวลาเดียวที่ผมมีความสุขก็คือการนั่งฟังเพลง ‘Waterloo Sunset’ ของ The Kinks”

สถานะของ BLUR กำลังสุ่มเสี่ยง วงอาจโดนต้นสังกัด Food Records ลอยแพได้ทุกเมื่อ ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นก็คือ ขณะที่ BLUR กำลังร่อแร่ แต่ SUEDE กำลังไปได้สวย มันยิ่งสุมไฟแค้นให้พวกเขาและกลายเป็นแรงผลักดันในการพิสูจน์ตัวเอง อัลบาร์นมองข้ามช็อต เขาคาดการณ์ว่ากระแสดนตรีกรันจ์ในประเทศอังกฤษจะสร่างซาในไม่ช้า และ BLUR จะนำดนตรีอังกฤษกลับมาผงาดได้ในผลงานชุดต่อไป แต่คำทำนายนั้นก็ยังไม่เห็นผลในอัลบัมที่สอง ‘Modern Life Is Rubbish’ ที่เป็นจุดเริ่มของการพลิกผัน มีการเปลี่ยนสไตล์ของวงจากซาวด์ Baggy/Shoegaze ไปสู่การรื้อฟื้นซาวด์ดนตรี Guitar Pop ของอังกฤษในยุค 60’s หยิบยืมอิทธิพลจากวงรุ่นพี่อย่าง The Kinks, The Who และ The Jam

#กว่าจะมาเป็นParklife
ซาวด์บริทป็อบในแบบฉบับ BLUR เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และมาผลิดอกออกผลในอัลบัมที่สาม ‘Parklife’ ซึ่งมือเบส อเล็กซ์ เจมส์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า...
“ผมสัมผัสได้ว่าอะไรดี ๆ กำลังจะเกิดขึ้น วงเรามีของและกำลังพัฒนา มีเสียงร่ำลือว่าเรามีเพลงดี ๆ อยู่ในมือ”

ระหว่างการทัวร์คอนเสิร์ตในปี 1993 วงซุ่มทำเดโมเพลงตุนเอาไว้ และด้วยสถานะการเงินบีบคั้น BLUR รีบกลับเข้าสตูดิโอ Maison Rouge ที่ลอนดอน โดยได้โปรดิวเซอร์คู่บุญ สตีเฟน สตรีท มาช่วยดูแลขัดเกลา กระบวนการบันทึกเสียงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

เพลงซาวด์ Disco-Rock อย่าง ‘Girls & Boys’ คือเพลงแรก ๆ ที่ถูกแต่งขึ้น และได้ฉีกภาพจำของ BLUR ในสองอัลบัมแรกไปเลย มันเป็นการหยอกล้อกับดนตรีเต้นรำ Eurobeat ที่พบได้ทั่วไปในผับบาร์ของยุโรป อเล็กซ์ เจมส์ กล่าวถึงเพลงนี้ว่า...
“Girls & Boys เป็นเพลงลูกผสมของดนตรีป็อบและแดนซ์ เราใช้จังหวะกลองดิสโก้ เสียงกีตาร์ฉูดฉาด และลูกเล่นเบสแบบ Duran Duran”

สตรีท (โปรดิวเซอร์) เองก็คิดว่า Girls & Boys ฟังดูแตกต่างจากเพลงก่อน ๆ ของ BLUR อย่างสิ้นเชิง แต่เขาก็มีลางสังหรณ์ว่าเพลงนี้น่าจะดัง...
“ตอนเข้าห้องอัด หลังได้ฟังเดโมผมบอกพวกเขาไปว่า ‘เข้าท่าดี เรามาทำเพลงดิสโก้กัน ใช้จังหวะ 120 BPM แล้วสนุกไปกับมัน’ ผมว่าเผลอ ๆ เพลงนี้จะขึ้นชาร์ต TOP5 มันเป็นเพลงที่เข้าถึงง่าย ผมมีความรู้สึกคล้าย ๆ กับตอนโปรดิวซ์เพลงของ The Smiths คือตราบใดที่ Morrissey ร้องเพลงนั้น มันก็จะออกมาเป็นเพลงของ Smiths เช่นเดียวกับวง BLUR พวกเขาจะหยิบจับอะไรมาก็ได้ และสุดท้ายมันก็จะออกมาเป็นซาวด์ของ BLUR อยู่ดี”


แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเห็นดีเห็นงามไปหมด เพราะเถ้าแก่ เดวิด เบลฟ์ เจ้าของค่าย Food Records รู้สึกขัดใจกับการเปลี่ยนทิศทางของวง BLUR มาตั้งแต่อัลบั้ม Modern Life… แล้ว และเขาคิดว่า Parklife เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่นำไปสู่การตัดสินใจขายกิจการค่ายเพลงให้กับ EMI ก่อนที่อัลบัมนี้จะวางแผงในอีกไม่กี่สัปดาห์

สำหรับสมาชิกวง BLUR พวกเขามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับ และไม่มีอะไรจะเสียแล้ว...

การเดิมพันของ BLUR ประสบผลสำเร็จ ‘Girls & Boys’ ที่ถูกปล่อยเป็นซิงเกิลแรกในเดือนมีนาคม 1994 กลายเป็นเพลงแรกของวงที่ติดอันดับ TOP5 บน UK Singles Chart และในเดือนถัดมาอัลบัม ‘Parklife’ ก็เปิดตัวในอันดับที่ 1 บน UK Albums Chart และอยู่ในชาร์ตนานถึง 90 สัปดาห์

#ธรรมดาที่แสนพิเศษ
Parklife คืออัลบัมที่เฉลิมฉลองความเป็นอังกฤษตั้งแต่หน้าปกที่ใช้รูป “การแข่งวิ่งสุนัขเกรย์ฮาวด์” ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมของชาวอังกฤษ ส่วนชื่ออัลบัมก็เป็นการสะท้อนถึงนาฏกรรมของสามัญชน โดยมือกีตาร์ เกรแฮม ค็อกซอน กล่าวถึงไตเติลแทร็คไว้ว่า...
“มันไม่ได้พูดถึงชนชั้นแรงงานหรอก แต่เป็นผู้คนและสรรพสิ่งในสวนสาธารณะ เช่น คนเก็บขยะ นกพิราบ นักวิ่งจ็อกกิ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราพบเจอทุกวันในระหว่างเดินทางไปสตูดิโอ และมันยังสื่อถึงความสนุกสนาน การทำในสิ่งที่อยากทำ”

#ในแง่ดนตรี Parklife เป็นการสลัดคราบกีตาร์แบนด์จ๋า ๆ ของ BLUR มันเป็นวาไรตีที่มีซาวด์ดนตรีหลากหลาย ในทั้ง 16 เพลงนั้น มีซินธ์ป็อบแบบ Girls & Boys โพสต์พังค์แบบ Parklife เพลงบริทป็อบซึ้ง ๆ แบบ End of a Century หรือ This Is a Low บาโรกป็อบแบบ To the End ไปจนถึงเพลงวอลซ์แบบ The Debt Collector

#ในแง่เนื้อหา Parklife เป็นคอนเซปต์อัลบัมที่มีการร้อยเรียงเรื่องราวต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เล่าเรื่องผ่านมุมมองของชาวอังกฤษ ซึ่งอัลบาร์นกล่าวว่า “มันเป็นการเดินทางของนักดื่มเบียร์ตัวยงที่เฝ้าสังเกตความเป็นไปบนโลกและแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งเหล่านั้น”
- ‘Girls & Boys’ เป็นเพลงที่อัลบาร์นได้แรงบันดาลใจจากตอนไปเที่ยวเมืองชายหาดในสเปนกับอดีตแฟนสาว จัสติน ฟริชแมนน์ - มันพูดถึงการท่องเที่ยวแบบประหยัดของหนุ่มสาวชาวอังกฤษ ที่นิยมไปอาบแดดในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมามายและปาร์ตี้กันแบบสุดเหวี่ยง

- ‘Parklife’ ที่ได้ดารารุ่นเก๋าจากยุค 70’s ฟิล แดเนียลส์ มาพูดเพลงในสำเนียงค็อกนีย์ – เป็นการถ่ายทอดมุมมองของ “คนว่างงาน” ที่เฝ้าดูชีวิตจำเจของผู้คนหลากหลายในสวนสาธารณะ (มันกลายเป็น Anthem หรือเพลงชาติแบบย่อม ๆ ของบริทป็อบ เป็นเพลงเชียร์ของสโมสรฟุตบอล Chealsea และยังถูกนำมาแสดงในพิธีปิดโอลิมปิก London 2012)

- ‘This Is a Low’ เพลงไม้ตายปิดท้ายอัลบั้ม - ที่โชว์ความอัจฉริยะในการแต่งเนื้อร้องของอัลบาร์น และท่อนกีตาร์โซโลสุดเดือดของค็อกซอน เนื้อเพลงมีการอุปมา ความรู้สึกดำดิ่ง -กับ- หย่อมความกดอากาศต่ำ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากรายการพยากรณ์อากาศเพื่อการเดินเรือของ BBC และมีการเอ่ยชื่อแหล่งน้ำต่าง ๆ ในประเทศอังกฤษ

- เพลงอื่น ๆ เช่น ‘End of a Century’ พูดถึงคู่รักในยุค 1990 ที่กำลังหมางเมิน ‘Magic America’ จิกกัดการครอบงำทางวัฒนธรรมของอเมริกา ‘Tracy Jack’ พูดถึงข้าราชการชายที่เผชิญวิกฤติวัยกลางคนจนสติแตก และ ‘Far Out’ เพลงเดียวที่แต่งและร้องนำโดยอเล็กซ์ เจมส์ ที่แสดงถึงความหลงใหลในดาราศาสตร์

มือกลอง เดฟ ราวน์ทรี กล่าวถึงความสำเร็จของอัลบัม Parklife ว่า “อย่างที่เดมอนทำนายไว้เลย กระแสนิยมของดนตรีได้เปลี่ยนไปแล้ว และเพลงอินดี้กลายพันธุ์มาเป็นเพลงป็อบรูปแบบใหม่”

สิ่งที่อยู่เหนือความสำเร็จด้านยอดขายและคำวิจารณ์ ก็คือ คุณค่าทางวัฒนธรรมที่ถูกสะท้อนผ่านซาวด์ดนตรี มุมมองและวิถีชีวิตของชาวอังกฤษในยุคสมัยหนึ่ง จนทำให้ Parklife มักจะถูกยกให้เป็น 1 ใน TOP5 อัลบัมบริทป็อบยอดเยี่ยมตลอดกาลของทุกสำนัก

#ปิดท้าย...
ด้วยเรื่องตลกร้ายเล็ก ๆ ในการขับเคี่ยว "The Battle of Britpop" บนเวที Brit Awards ยกแรกในปี 1995 ทีม BLUR เป็นฝ่ายชนะ นำ ‘Parklife’ กวาดรางวัลใหญ่ไป 4 รางวัล และยกที่สองในปี 1996 ทีม OASIS คว้าชัยกับอัลบัม (What's the Story) Morning Glory? เท่านั้นไม่พอ สองพี่น้องกัลลาเกอร์สุดแสบยังแซะ BLUR ด้วยการแปลงเนื้อเพลง Parklife (เป็น Sh*te Life) ตอนขึ้นไปรับรางวัลวงดนตรีอังกฤษยอดเยี่ยม...

https://www.youtube.com/watch?v=cQ2P9r-jOwI
20/09/2024

https://www.youtube.com/watch?v=cQ2P9r-jOwI

Tears For Fears’ music video for “The Girl That I Call Home,” from their album ‘Songs For A Nervous Planet,’ out October 25th.Pre-order Songs For A Nervous P...

มาครับ เรื่องเล่าของ BLUR โดยแอด(เบิท) จะแบ่งออกเป็น 2 ตอน1) Blur กับจุดเริ่ม Britpop2) Blur กับอัลบั้ม Parklife= = = = ...
17/09/2024

มาครับ เรื่องเล่าของ BLUR โดยแอด(เบิท) จะแบ่งออกเป็น 2 ตอน
1) Blur กับจุดเริ่ม Britpop
2) Blur กับอัลบั้ม Parklife

= = = = = = = = = =

ในวาระครบรอบ 30 ปีของแนวเพลง Brit Pop อัลบั้มที่ถูกกล่าวขานมากที่สุด นอกจาก ‘Definitely Maybe’ ของวง OASIS แล้ว ก็คงจะหนีไม่พ้น ‘Parklife’ ของ BLUR

#ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ในช่วงต้นยุค 1990 ฟรอนท์แมนอย่าง Damon Albarn ประกาศกร้าวว่า “เมื่อไหร่ที่ Blur ปล่อยอัลบั้มที่ 3 สถานะของเรา ในฐานะวงดนตรีอังกฤษแห่งยุค 90’s จะเป็นที่ประจักษ์” ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาสื่อจนต้องถามเขาว่า “แล้วไอ้อัลบั้มที่ว่านี้จะคลอดเมื่อไหร่?” Albarn ตอบไปว่า “ผมตั้งใจจะทำอัลบั้มนี้ในปี 1994 น่ะ”

แล้ว Albarn ไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน?
เพราะในช่วงเวลานั้น Blur ยังอยู่ห่างไกลจากคำว่า ‘Breakthrough’ (การประสบความสำเร็จในวงกว้าง) ด้วยซ้ำ พวกเขาล้มเหลวกับการทัวร์คอนเสิร์ตในประเทศสหรัฐอเมริกา สถานะการเงินย่ำแย่ อัลบั้มที่สอง ‘Modern Life Is Rubbish’ แม้จะได้รับการชื่นชมจากนักวิจารณ์เพลง แต่ยอดขายก็ไม่ได้ปังปุริเย่ และใช้เวลานานหลายเดือนในการปลุกปั้นจนชื่อเสียงของ Blur ค่อย ๆ กระเตื้องขึ้น

อะไรคือ #จุดเปลี่ยน ที่ทำให้ Blur สามารถพลิกเกมจากดาวรุ่งไปสู่ตำนาน และสร้างสรรค์อัลบั้ม ‘Parklife’ ให้กลายเป็น 1 ในต้นแบบของซาวด์ Britpop ได้สำเร็จ?

#ย้อนรอยBritpop
ในช่วงต้นยุค 90’s กระแสนิยมของดนตรี “กรันจ์” (Grunge) จากฝั่งอเมริกาที่มี NIRVANA และ PEARL JAM เป็นหัวหอกได้แผ่อิทธิพลไปทั่วโลก รวมถึงกลบรัศมีวงการเพลงอินดี้ในอังกฤษ ที่ขณะนั้นอบอวลไปด้วยซาวด์แบบ Baggy และ Shoegaze
กระแสโต้ตอบดนตรีกรันจ์ก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น โดยวงอังกฤษรู้สึกไม่ถูกจริตกับดนตรีกรันจ์ที่มีซาวด์หน่วง ๆ เนื้อหามืดหม่น และไม่ได้สะท้อนวิถีชีวิตของชาวอังกฤษ เคยมีสื่อสัมภาษณ์ Damon Albarn ว่ารู้สึกยังไงกับกระแสต่อต้านดนตรีกรันจ์ เขาตอบว่า...
“ถ้าพังค์เกิดมาเพื่อฆ่าฮิปปี้ ผมเองก็อยากจะเขี่ยกรันจ์ทิ้งซะ”

ขณะที่ Justine Frischmann ฟรอนท์แมนของวง ELASTICA ที่เคยเดทกับ Brett Anderson (วง Suede) ก่อนจะมาคบหากับ Damon Albarn กล่าวว่า...
“ในตอนนั้น เดมอนกับฉันรู้สึกว่าวงการเพลงอังกฤษกำลังอยู่ในช่วงขาลง ใคร ๆ ก็พูดถึงแต่ Nirvana และผู้ฟังเทใจให้เพลงฝั่งอเมริกา ฉันคิดว่าเราควรจะแสดงจุดยืนในการรื้อฟื้นอัตลักษณ์ความเป็นอังกฤษ”

และนั่นเป็นที่มาของแนวดนตรีบริทป็อบ (Britpop) ที่รื้อฟื้นรากเหง้าเพลงอังกฤษ (เช่น Blur ได้รับอิทธิพลจาก The Kinks ส่วน Oasis อิง The Beatles และ Suede อิง David Bowie) ศิลปินบริติชรุ่นใหม่ต้องการนำเสนอดนตรีที่สดใสกว่ากรันจ์ และสะท้อนตัวตนวัยรุ่นอังกฤษ
โดย AllMusic ให้นิยามว่า “บริทป็อบมักจะมีท่อนฮุคที่ติดหู มีเนื้อเพลงที่สะท้อนภาพวัยรุ่นชาวอังกฤษ เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา และความปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับ"

#แรงกระเพื่อมแรก ของบริทป็อบมาจาก SUEDE ที่เป็นกีตาร์แบนด์และมีซาวด์แบบอังกฤษจ๋า อัลบั้มแรกของพวกเขาสร้างปรากฏการณ์ในปี 1993 ทำยอดขายเปิดตัวสูงเป็นประวัติการณ์ (1 แสนก็อปปี้) ก่อนที่สถิติจะถูกทำลายในปีถัดมา (1994) โดย Oasis กับอัลบั้ม ‘Definitely Maybe’ ขณะที่ Blur เองก็ประสบความสำเร็จกับอัลบั้มที่สาม ‘Parklife’ ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง แถมกวาดรางวัลจากเวที Brit Awards และต่อมาในปี 1995 ก็เป็นวงรุ่นพี่อย่าง PULP ที่มาวินกับอัลบั้ม ‘Different Class’ จนเป็นที่มาของฉายา ‘Big Four’ หรือ จตุรเทพแห่งบริทป็อบ (Oasis, Blur, Suede และ Pulp) โดยเฉพาะวง Blur และ Oasis ที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดทั้งในชาร์ทเพลงและผ่านทางหน้าสื่อ จนเกิดคำนิยาม ‘The Battle of Britpop’ (ศึกศักดิ์ศรีแห่งวงการบริทป็อบ)

>>>

ใครว่าเพจเราโหนแต่ OASIS? BLUR เราก็โหน 5555ไว้รออ่านบทความเกี่ยวกับ BLUR บ้าง เร็ว ๆ นี้
12/09/2024

ใครว่าเพจเราโหนแต่ OASIS?

BLUR เราก็โหน 5555
ไว้รออ่านบทความเกี่ยวกับ BLUR บ้าง เร็ว ๆ นี้

06/09/2024

มาครับ นักร้องนำคนใหม่ของ Linkin Park

เป็นนักร้องหญิงซะด้วย นามว่า Emily Armstrong ลองฟังเส้นเสียงของเธอกัน

https://www.facebook.com/share/r/3oCfiFkLYNMw6JyH/?mibextid=ICIPch

"Oasisters (Oasis' Fangirls)- เอฟซีสาววัยใส หัวใจยุค 90's"     ข่าว   ไม่เพียงแต่สร้างความปลาบปลื้มให้กับแฟนเพลงรุ่นใหญ่...
05/09/2024

"Oasisters (Oasis' Fangirls)
- เอฟซีสาววัยใส หัวใจยุค 90's"

ข่าว ไม่เพียงแต่สร้างความปลาบปลื้มให้กับแฟนเพลงรุ่นใหญ่ แต่ยังสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนเพลง Gen Z ส่วนหนึ่งที่คาดหวังว่าจะได้สัมผัสกับการแสดงสดของ Oasis แบบเต็มวงเป็นครั้งแรก

ในบทความล่าสุดของคอลัมนิสต์สาวอังกฤษ Anna Doble ที่เป็นแฟนเพลง Britpop มาตั้งแต่ยุค 90's เธอได้แชร์ประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับกระแส หรือกลุ่มแฟนเพลงสาว ๆ วัยรุ่นของวง Oasis จากหลายมุมโลก ที่ติดตามผลงานของวงอย่างคลั่งไคล้ และความหลงใหลใน Oasis ของพวกเธอได้ถูกถ่ายทอดผ่านทางแฮชแท็ก มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น X, Tiktok ไปจนถึงการแชร์ของสะสม หรือ Fanart และข่าวการกลับมาของ Oasis ในรอบ 15 ปีก็ทำให้ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม Oasisters คึกคักเป็นทวีคูณ

โดยมีการตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ Oasisters ต่าง ๆ ดังนี้
- การส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น พวกเธอรู้จัก Oasis ผ่านทางพ่อแม่
- กระแส Nostalgia โหยหาอดีต วัยรุ่น Gen Z ส่วนหนึ่งหลงใหลดนตรียุค 90's โดยเฉพาะในแง่ของการร้อยเรียงบทเพลงเป็นอัลบั้ม หรือในแง่เนื้อหา ที่แม้ว่าเพลงจะเก่าเป็นสิบปีแล้ว แต่ก็ยังทัชใจ มีการสะท้อนแง่มุมชีวิต ความสัมพันธ์ การค้นหาตัวตน
- เพราะแฟชั่นยุค 90's นั้นโคตรเท่ โคตรคลาสสิค เช่น แว่นกรอบเหลี่ยม หมวกบัคเก็ต เสื้อฮู้ดพาร์กา (Parka) ไปจนถึงเสื้อทีมบอล
- บ้างก็ยอมรับตรง ๆ เลยว่าเพราะ "หน้าตาและเสน่ห์" โดยเฉพาะพรี้ Liam ในวัยหนุ่มที่เหล่ท่อ หล่อเท่เหลือเกิน ทรงผมหน้าม้า และคิ้วหนา ๆ แถมด้วยลุคขบถสุดเฮ้วของหนุ่ม ๆ วง Oasis มีความเซอร์ ดิบเถื่อน
- กลิ่นอายเพลง Britpop ที่แตกต่างจากฝั่งอเมริกา มีการสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนรากหญ้า ชนชั้นแรงงาน ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่จำกัดเพศ (และมีอารมณ์ร่วมของยุคสมัย โดยอัลบั้มแรก 'Definitely Maybe' เป็นนาฎกรรมที่เกิดขึ้นในสังคมที่กำลังล่มสลายในช่วงยุค 90's ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์บางอย่างในยุคปัจจุบัน)
- การเล่นกับสื่อ Social เป็น โดยเฉพาะ Liam ที่เข้า Twitter (X) เป็นประจำ และคอยสร้างปฏิสัมพันธ์กับแฟน ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในยุคก่อน

นอกจากนี้ กูรูดนตรีอย่าง Andy Walker ได้กล่าวถึงทฤษฎี '30-year cycle' (วัฏจักร 30 ปี) ทั้งนี้ เพลง Britpop ในยุค 90's ก็คือการฟื้นฟูดนตรียุค 60's โดย Oasis ได้อิทธิพลมาจาก The Beatles ส่วน Blur ได้จาก The Kinks และ ณ ปัจจุบัน (ทศวรรษ 2020) ก็เหมือนวัฏจักรนี้กำลังเวียนมาบรรจบอีกครั้งหนุึ่งพอดี โดยวงรุ่นใหม่หลายวงที่เติบโตมาในยุคนั้น ก็ได้นำเอาซาวด์ Britpop มาผสมผสานกับ Punk หรือ Post-hardcore

= = = = = = = = = =

"ทำความรู้จักกับสาว ๆ Oasisters"

#ยูเลีย (Yulia Markovskaia) วัย 23 ปีจากรัสเซีย รู้จัก Oasis จากโรงเรียนในช่วงทศวรรษ 2010s ในห้องของเธอประดับประดาไปด้วยโปสเตอร์ เทปคาสเซ็ท และนิตยสารของทั้งวง Oasis และ Beady Eye (วงเฉพาะกิจของ Liam)
ยูเลียเล่าว่าพอฟังเพลงของ Oasis แล้วมันโดนใจ ทำให้เธอรู้สึกฮึกเหิม ตื่นเต้น ไปจนถึงเกรี้ยวกราด! บทเพลงทั้ง 11 เพลงในอัลบั้ม 'Maybe' เป็นเหมือนซาวด์แทร็กชีวิตของเธอ และพอยิ่งฟัง ยิ่งรู้จักวง ก็ทำให้เธอยิ่งหลงรัก Oasis โดยเธอกล่าวถึงเพลงโปรดอย่าง 'Slide Away' ไว้ว่า...
"Slide Away เป็นเพลงที่งดงาม มันเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ น้ำเสียงของ Liam ทำให้ฉันขนลุกทุกครั้งที่ได้ฟัง"

ยูเลียกำลังวางแผนขอวีซ่าไปอังกฤษในปี 2025 เพื่อดูคอนเสิร์ตของ Oasis เธอเผยว่า...
"ฉันเตรียมตัวเตรียมใจอย่างดี เพราะนี่เป็นครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และฉันคงไม่ให้อภัยตัวเองแน่ ๆ ถ้าพลาดคอนเสิร์ตครั้งนี้ ฉันจะต้องบ้าตายแน่ ๆ เลย"
"และฉันคงสะอื้นแน่ ๆ ถ้า Liam กับ Noel ร้องเพลง 'Acquiesce' ด้วยกันบนเวที"

#จัสมิน (Jasmine Griffin-Jones) สาวอังกฤษวัย 19 ผู้เคยคว้า Setlist เพลงของ Liam Gallagher มาแล้ว แม่ของเธอเป็นแฟนวง Stone Roses ส่วนเธอนั้นชอบฟังทั้งเพลงป็อบยุคใหม่ เช่น Taylor Swift, Charli XCX รวมถึงเพลง Britpop ของวง Oasis หรือคู่ปรับอย่าง Blur
จัสมินรู้จัก Oasis ตั้งแต่อายุ 14 ปี และแฟนเพลงรุ่นใหม่ดูเหมือนจะก้าวข้ามชื่อเสียและความขัดแย้งของวงในอดีต โดยเวลามีคอนเสิร์ตของ Liam แต่ละครั้ง จะมีกลุ่มแฟน ๆ ผู้หญิงเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคักในแพลตฟอร์ม Twitter
พอรู้ข่าวเรื่องการกลับมาของ Oasis จัสมินก็นั่งอึ้งไปสักพักหนึ่ง โดยเธอพรรณนาว่า...
"จังหวะเวลาของ Oasis Reunion มันแอบคล้ายกับย้อนเวลากลับไปในช่วงยุค 90's เลย พรรคแรงงานได้เป็นรัฐบาล กระแส Oasis Mania และผลงานของทีมอังกฤษในรอบชิง มันเป็นประสบการณ์ที่พ่อแม่ของฉันเคยสัมผัสมาก่อน"

#เบลลา (Bella Perozzi) สาวบราซิลวัย 22 ปี กล่าวว่าอัลบั้มแรกที่เธอซื้อมาคือ 'Definitely Maybe' ซึ่งทำให้เธอหลงใหล มันเป็นผลงานที่สัมผัสได้ถึงความจริงใจและความภาคภูมิใจ และความตั้งใจของศิลปินที่จะเข้าถึงวัยรุ่นในยุคนั้น เธอกล่าวว่าแค่ท่อนอินโทรของเพลง ‘Rock ‘n’ Roll Star’ ก็ทำให้เธอขนลุกแล้ว ส่วนเพลงโปรดของเบลลา ได้แก่ ‘Listen Up’ เธอกล่าวถึงความประทับใจที่มีต่อเพลงนี้ว่า...
"Listen Up เป็นบทเพลงที่มีความหมายลึกซึ้ง และมีท่วงทำนองไพเราะ น้ำเสียงของ Liam และถ้อยคำของ Noel เป็นงานศิลป์ชั้นเลิศ เพลงนี้เหมาะสำหรับการเปิตตอนตี 3 แล้วก็มองเหม่อขึ้นไปบนเพดาน"

= = = = = = = = = =

#อ้างอิง
The young Oasis fans rebooting the spirit of the 90s
https://www.bbc.com/news/articles/c33nj4m5zkgo

Oasisters: Meet Liam & Noel’s 21st Century Female Fan Army
https://thequietus.com/interviews/oasis-reformed-female-fan-army/

04/09/2024

"กับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง BLUR"

ในช่วงปี 1995 ทุกคนเชื่อกันเป็นตุเป็นตะเรื่องความขัดแย้งระหว่างวง BLUR และ OASIS ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมว่ามันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อของสื่อน่ะ ในความเป็นจริง ถ้าเราเดินอยู่ในเมืองแล้วบังเอิญเจอ Damon, Graham หรือ James เราจะตั้งวงคุยกัน และทุกอย่างปกติดี

ผมว่าน่าจะมีสักคืนที่ลอนดอน ที่ Liam ไปเจอ Damon หรือ Alex เข้า และพวกเราชวนกันไปดื่มสักที่หนึ่ง ในบรรยากาศที่เป็นมิตร แต่ถ้าเมื่อไหร่คุณจับ Liam ไปอยู่หน้ากล้อง แล้วมี Damon ยืนอยู่ข้าง ๆ ล่ะก็ Liam ก็คือ Liam แหละ เขาจะต้องเล่นตามน้ำและสร้างซีนได้แน่ ๆ ( #วงการบันเทิงอะเนอะ)

เข้าท่า เข้าท่า ประเด็นเรื่อง  #เสื้อวงมีมุมมองจาก Guru สายดนตรีที่ญี่ปุ่นด้วยhttps://web.facebook.com/photo?fbid=107709...
03/09/2024

เข้าท่า เข้าท่า ประเด็นเรื่อง #เสื้อวง
มีมุมมองจาก Guru สายดนตรีที่ญี่ปุ่นด้วย

https://web.facebook.com/photo?fbid=1077091783979157&set=a.811136580574680

SOCIETY: การสวม 'เสื้อวง' โดยไม่เคยฟังเพลง
เป็นสิ่งผิดหรือไม่?
แล้วผู้สันทัดกรณีชาวญี่ปุ่น คิดอย่างไรกับเรื่องนี้
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 วัยรุ่นสมัยนั้นมักจะแสดงความนิยมชมชอบวงร็อกที่ตนรักด้วยการซื้อ 'เสื้อวง' มาใส่ เสื้อเหล่านี้ก็มีตั้งแต่เสื้อลายปกอัลบั้มของวง เสื้อแสดงตารางทัวร์ของวงไปจนถึงเสื้อลายอื่นๆ ซึ่งสิ่งที่เสื้อทุกแบบจะมีร่วมกันก็คือโลโก้ของวงดนตรี
กระแสความนิยมเหล่านี้เริ่มลดลงในทศวรรษ 2000 และตั้งแต่ยุคนี้เป็นต้นมาคนที่นิยมใส่เสื้อวงก็ดูจะมีแต่คนที่นิยมดนตรีสายเฮฟวีเมทัลเป็นหลักเท่านั้นเป็นสิบปี จนกระทั่งปลายทศวรรษ 2010 กระแสนิยมเสื้อวงก็กลับมาใหม่จนถึงปัจจุบัน ร้านเสื้อวงมือสองเกิดขึ้นมากมาย หรือกระทั่งแบรนด์เสื้อผ้าดังๆ ก็ยังไปดีลกับวงดนตรีเพื่อนำโลโก้วงมาทำเสื้อมากมาย จนเรียกได้ว่าทุกวันนี้แม้แต่ในไทย การจะไปหาเสื้อวงของวงดนตรีร็อกดังๆ อย่าง Metallica, Nirvana, AC/DC, Iron Maidan, Rolling Stones ฯลฯ ตามร้านเสื้อผ้า ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นเลย ซึ่งเราไม่สามารถพูดแบบเดียวกันนี้ได้แน่ๆ ในยุคสัก 20 ปีก่อน
ทำให้เสื้อวงกลายมาเป็นสินค้าแฟชั่นของคนรุ่นใหม่ใน Gen Z โดยสมบูรณ์ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง และไม่ว่าจะชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงก็คือ เหล่าลูกค้าเสื้อวงรุ่นใหม่เหล่านี้ จำนวนมากก็ไม่เคยฟังเพลงของวงดนตรีเหล่านี้ และเอาเข้าจริงก็มีรายงานด้วยซ้ำว่าบางคนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวหนังสือบนเสื้อคือโลโก้ของวงดนตรี เพราะสำหรับพวกเขาเสื้อเหล่านี้มันก็เป็นแค่เสื้อ 'แฟชั่น'
และแน่นอนว่าแฟนเพลงรุ่นเก่าจำนวนมากก็ไม่ปลื้มเท่าไหร่ พวกเขารู้สึกถูกฉกฉวยทางวัฒนธรรม เพราะย้อนไป 20-30 ปีก่อน หรือกระทั่งช่วง Gen Y ยังวัยรุ่น การใส่เสื้อวงเป็นพฤติกรรมที่แทบจะจำกัดอยู่ในกลุ่ม 'ชายแท้' ที่นิยมฟังเพลงร็อก โดยเฉพาะร็อกสายหนักๆ เท่านั้น และยุคนั้นโยทั่วไปก็จะไม่มีใครซื้อเสื้อวงสุ่มๆ ที่ตัวเองไม่รู้จักและไม่เคยฟังมาใส่ เพราะคนในยุคนั้นการใส่เสื้อวงคือการประกาศให้โลกรู้ว่าตนชื่นชอบเพลงของวงนี้ และถ้าเดินไปในที่สาธารณะแล้วเจอคนใส่เสื้อวงเดียวกัน การชูนิ้วโป้งให้กันหรือกระทั่งยิ้มให้กันก็เป็นเรื่องปกติ
สถานการณ์ปัจจุบันรวมๆ มันกลับตาลปัตร และสิ่งที่น่ารู้ก็คือ แล้วผู้คนในแวดวงที่เกี่ยวข้องในประเทศอื่นๆ เขาคิดอย่างไรกับปรากฏการณ์นี้ โดยหนังสือพิมพ์ The Mainichi ได้ไปสัมภาษณ์ทั้งร้านขายเสื้อมือสองและนักวิจารณ์เพลง ในดินแดนที่ผู้คนยังนิยมดนตรีร็อกแบบญี่ปุ่น
ผู้จัดการร้าน Furugiya Jam Harajuku ซึ่งเป็นร้านเสื้อวงมือสองในย่านฮาราจูกุให้สัมภาษณ์ว่า ร้านของเขามีเสื้อวงขายกว่า 10,000 ตัว ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นจนถึงอายุ 20 ต้นๆ ซึ่งยังไม่เกิดด้วยซ้ำตอนที่เสื้อส่วนใหญ่ถูกผลิตออกมา เพราะเสื้อวงส่วนใหญ่ที่คนฮิตใส่กันจะมาในยุคทศวรรษ 1990 โดยวงที่เป็นที่นิยมสุดคือ Nirvana และ Metallica โดยเมื่อ The Mainichi ไปสัมภาษณ์ลูกค้าสาววัย 22 ปีคนหนึ่ง เธอก็ให้เหตุผลในการซื้อเสื้อวงยุคก่อนที่เธอเกิด ทำนองว่า ในยุคปัจจุบันมีกระแสแฟชั่นเสื้อวงทำให้แบรนด์ดังๆ ผลิตเสื้อวงรุ่นใหม่ๆ ออกมามากมาย ถ้าเธอไม่อยากใส่เสื้อวงที่มีลวดลายซ้ำกับคนอื่นแน่ๆ เธอก็ต้องไปหาตามร้านเสื้อมือสอง
สำหรับร้าน SyuNa Vintage Clothing ในย่านชิโมะคิตาซาวะ พนักงานก็รายงานว่าคนจะชอบและยอมจ่ายแพงๆ กับพวกเสื้อวงในยุคแรกๆ ของวงดังๆ ที่หายาก เช่นของ Nirvana เสื้อที่แพงสุดก็มาจากอัลบั้มแรกที่วงยังไม่ดัง ซึ่งทางร้านก็มีขาย ตัวละเกือบ 200,000 บาท ส่วนทางพนักงานร้าน SMOG ที่เป็นอีกร้านในย่านเดียวกันนี้ ก็บอกว่าปกติสมัยก่อนคนรุ่นใหม่ๆ ที่มาซื้อเสื้อวงเก่าๆ ก็ไม่ค่อยรู้จักวงดนตรี แต่ในยุคหลัง กระแสเริ่มเปลี่ยน คนรุ่นใหม่เองก็เริ่มมองว่าควรจะรู้จักวงดนตรีเจ้าของโลโก้บนเสื้อบ้าง และลูกค้ารุ่นหลังก็พูดกันมากขึ้นว่า บางทีเขาก็หาซื้อเสื้อมาใส่ก่อนแล้วค่อยไปไล่ฟังเพลง หรือบางคนก็บอกว่าเขาเริ่มศึกษาเพลงของวงก่อนมาซื้อเสื้อ เป็นต้น
แนวทางแบบนี้น่าจะทำให้ยูอิจิ มาสุดะ แฮปปี้ นักฟังเพลงรุ่นใหญ่วัย 60 กว่าคนนี้เคยเป็นคอลัมนิสต์ให้นิตยสารเฮฟวีเมทัลสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Burrn! มายาวนาน ก่อนที่ปัจจุบันจะเป็นบรรณาธิการบริหารให้นิตยสาร 'เพลงฝรั่ง' เก่าแก่อายุเกือบ 70 ปี ของญี่ปุ่นอย่าง ‘Music Life’
มาสุดะสารภาพว่า ในอดีตเขาไม่เคยแฮปปี้กับการที่คนเอาเสื้อวงมาใส่โดยไม่รู้เรื่องราวของวงเลย เพราะในช่วงที่เขาเป็นวัยรุ่น การใส่เสื้อวงคือการสื่อสารแบบหนึ่งที่ใช้แสดงความชื่นชอบในวงดนตรีนั้นๆ และมันก็เหมือนการเชิญชวนแฟนเพลงวงเดียวกันให้มามีปฏิสัมพันธ์ พูดคุยกัน และจริงๆ มันเป็นตัวเปิดบทสนทนาด้วย โดยมาสุดะเล่าว่าเขาเคยสัมภาษณ์จอน บอง โจวี (Jon Bon Jovi) นักร้องฮาร์ดร็อกชื่อดังจากยุคทศวรรษ 1980 เขาก็เลยต้องทำการบ้านก่อน เห็นจอนเคยใส่เสื้อยืด Aerosmith วงร็อกแอนด์โรลอเมริกันแห่งทศวรรษ 1970 เขาก็เลยเลือกใส่เสื้อ Aerosmith ไปสัมภาษณ์ และประโยคแรกที่จอนพูดกับเขาคือ “เสื้อคุณสวยนะ” และบทสนทนาในการสัมภาษณ์ก็เป็นไปอย่างลื่นไหล
มาสุดะบอกว่าจุดเปลี่ยนทางความคิดเรื่องการ 'ใส่เสื้อวงแบบไม่รู้เรื่อง' มาจากตอนที่เขาได้สัมภาษณ์วงแร็ปเมทัลยุคบุกเบิกอย่าง Rage Against The Machine ที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อหาการเมืองและความจริงจังทางดนตรี โดยมาสุดะได้สัมภาษณ์มือกีตาร์และหัวหน้าวงอย่างทอม โมเรลโล แบบตรงๆ เลยว่า “คุณคิดอย่างไรกับคนที่ซื้อเสื้อวงของคุณโดยไม่เคยฟังเพลงของคุณ?”
โมเรลโลตอบดีมากว่า เขาไม่ได้มีปัญหาเลย เพราะวงนั้นได้ใส่ 'สาร' ที่วงต้องการจะสื่อลงในเสื้ออยู่แล้ว และหากมีคนใส่เสื้อวงไปเดินในที่สาธารณะ คนอื่นๆ ที่เห็นลายบนเสื้อก็อาจได้รับสารที่วงต้องการจะสื่อนั้นไปด้วยก็ได้ แล้วทำไมวงจะไม่ดีใจถ้ามันเป็นแบบนี้? หรือพูดง่ายๆ ว่าคนใส่เสื้อวงนั้นไม่ว่าจะฟังเพลงของวงหรือไม่ ในทางหนึ่งก็กำลังโปรโมตวงให้ฟรี และช่วยวงส่งสารออกไปเพิ่มอยู่ดี แบบนี้แล้ววงจะไปมีปัญหาทำไมกัน?
มาสุดะค่อนข้างมองโลกในแง่ดีว่า ถ้าคนใส่เสื้อวงกันเยอะๆ แม้ว่าจะใส่แบบไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่สุดท้ายมันก็จะต้องมีคนตามขุดและไปฟังเพลงของวงกันจริงๆ มากขึ้นๆ และสำหรับคนฟังเพลงไม่น้อย มันไม่ได้จบแค่วงดนตรีเหล่านั้น แต่มันเป็นจุดเริ่มที่จะทำให้พวกเขาตามไปค้นหาและฟังเพลงวงที่ไม่ดังแต่เพลงดี ไปจนถึงเพลงที่ฟังยากๆ ซึ่งยุคนี้ที่มี YouTube และสารพัดบริการสตรีมมิง การฟังเพลงหายากแบบนี้มันแค่ปลายนิ้ว ได้ไม่ยากแบบสมัยก่อน และสุดท้ายถ้ามันเพิ่มความเป็นไปได้ให้มีคนฟังเพลงร็อกมากขึ้น ก็ได้ประโยชน์กันทั้งระบบนิเวศ
จะบอกว่าทั้งหมดอาจเป็นการมองโลกในแง่ดีก็ได้ แต่อีกด้าน หากมองในบริบทปัจจุบันที่เพลงฮิปฮอปกำลังครองโลก และคนฟังเพลงร็อกน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งวงร็อก นักวิจารณ์เพลงร็อก และแฟนเพลงร็อกก็น่าจะมีทางเลือกไม่มากเท่าไรในการเพิ่มประชากรทางดนตรีของตน และการกีดกันการมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมดนตรีไม่ว่าจะในทางใด ก็น่าจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองให้ลึกขึ้นเสียมากกว่า

เพื่อนสมาชิกฝากประชาสัมพันธ์ กิจกรรม M.o.n.g  #2เป็นอีเว้นที่ร้าน DeCommune ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ย. นี้ มีวงคัฟเวอร์เล่นเพล...
03/09/2024

เพื่อนสมาชิกฝากประชาสัมพันธ์ กิจกรรม M.o.n.g #2
เป็นอีเว้นที่ร้าน DeCommune ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ย. นี้
มีวงคัฟเวอร์เล่นเพลงของวงร็อค 4 พระกาฬยุค 90's ได้แก่ Oasis, Nirvana, Metallica, Gun N’ Roses

ใครสนใจ ไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หน้าอีเว้นเลย
https://web.facebook.com/events/504629572019389

 'Bonehead' อดีตมือกีตาร์ของ OASIS ยุคก่อตั้ง เป็นอีก 1 สมาชิกที่คาดว่าจะได้ขึ้นร่วมแสดงในทัวร์คอนเสิร์ต ‘OASIS LIVE 25’...
02/09/2024



'Bonehead' อดีตมือกีตาร์ของ OASIS ยุคก่อตั้ง เป็นอีก 1 สมาชิกที่คาดว่าจะได้ขึ้นร่วมแสดงในทัวร์คอนเสิร์ต ‘OASIS LIVE 25’

Bonehead เพิ่งหายขาดจากโรคมะเร็งทอนซิลในปี 2022 และตอนนี้สภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้ว เขาเชื่อมั่นว่าการกลับมาของ OASIS ในรอบ 15 ปี ไม่เพียงแต่จะสร้างความประทับใจให้กับแฟนรุ่นใหญ่ แต่ยังถือเป็นโอกาสพิเศษสำหรับแฟน ๆ รุ่นเยาว์ที่จะได้สัมผัสการแสดงสดของวงในตำนานอย่าง OASIS เป็นครั้งแรก

#รู้จักBonehead

Paul 'Bonehead' Arthurs มือกีตาร์ริทึมวัย 59 ปี คือผู้ที่ร่วมสร้างตำนานบริทป็อบกับสองพี่น้อง Gallagher ในยุค 90's ก่อนจะมี OASIS เขาเคยตั้งวงชื่อ The Rain มาก่อน (มีสมาชิกยุคดั้งเดิมครบ ทั้งมือเบส Guigsy และมือกลอง Tony) ต่อมา Liam เข้ามาจอยในภายหลัง แล้วเปลี่ยนชื่อวงเป็น OASIS ก่อนจะชักชวน Noel ที่เพิ่งกลับจากการไปทัวร์กับวง Inspiral Carpets ในฐานะทีมงาน

Bonehead เล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้น นอกจากกีตาร์ริทึมแล้ว เขายังเล่นเบส และคีย์บอร์ด ได้ขึ้นเครดิตมือเปียโนในอัลบั้มที่ 2 '(What's the Story) Morning Glory?' อย่างไรก็ดี เขาแยกตัวออกไปในอัลบั้มที่ 4 เมื่อปี 1999 โดยให้เหตุผลสั้น ๆ ว่าต้องการให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น (หลังออกจาก OASIS เขาก็ยังคลุกคลีอยู่ในวงการ เคยกลับมาร่วมงานกับ Liam เป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ Bonehead ยังเคยร่วมงานกับพี่เสก โลโซ ขณะไปทำเพลงและตระเวนแสดงในประเทศอังกฤษ ในช่วงปี 2004-2005)

สำหรับชื่อเล่น Bonehead นั้นมีที่มาจากสมัยเด็ก โดยพ่อแม่ที่เป็นชาวไอริชเคร่งศาสนาชอบบังคับให้เขากับน้องชายไว้ผมสั้นเกรียนตลอด จนโดนเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนล้อว่า 'Bonehead' (เจ้างั่ง) และกลายมาเป็นฉายาที่ถูกเรียกขานจนถึงปัจจุบัน โดย Bonehead กล่าวว่า...
"ตลอดชีวิตนี้ มีแต่พ่อกับแม่ผมเท่านั้นแหละที่เรียกผมว่า Paul น่ะ"

#วัยรุ่นก็Madferit

Bonehead เชื่อว่าการรียูเนียนของ OASIS น่าจะเป็นประสบการณ์แสนคุ้มค่าสำหรับวัยรุ่นยุคนี้ โดยก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันคงจะหมดยุคของ OASIS ไปแล้ว จนกระทั่งได้ไปแจมกับ Liam ในฐานะศิลปินเดี่ยว พวกเขาเล่นเพลง 'Rock 'N' Roll Star' แล้วคนดูข้างล่างก็เดือดพล่าน ทั้งเต้นทั้งโดดกันแบบสุดเหวี่ยง และตัว Bonehead เองก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองกับปฏิกิริยาของกลุ่มคนดู...
"ขณะที่เล่นอยู่บนเวทีกับ Liam ผมกวาดสายตาดูกลุ่มผู้ชมที่อยู่ด้านหน้า พวกเขาอายุแค่ 16-17 เองมั้ง หนุ่มสาวเหล่านี้ยังไม่ทันเกิดตอนที่ OASIS ยังทำวงกันอยู่"

#วีรกรรมสมัยOASIS

"สระว่ายน้ำไม่ใช่ Safe Zone"
เมื่อปี 1994 หลังจบคอนเสิร์ตพวกเรากลับมาพักที่โรงแรม แล้วความโกลาหลก็บังเกิด คือบาร์ของโรงแรมมันดันอยู่ติดกับสระว่ายน้ำ ทีนี้พอพนักงานแว้บไปออฟฟิศ พวกเราก็ยึดบาร์นั้นไว้ทันที ขวดเหล้าและบรั่นดีถูกเขวี้ยงลงไปในสระ พวกเราลงไปนอนลอยคอเมาแอ๋อยู่ในน้ำ แล้วตามมาด้วยเก้าอี้ ลอยละล่องเลย แล้วพอตั้งสติได้ ไอ้เจ้า Liam ก็ตีมึนว่า "เป็นความผิดของโรงแรมเอง ใครใช้ให้สร้างสระว่ายน้ำเอาไว้ตรงนี้กันเล่า แส่หาเรื่องชัด ๆ เลย"

Bonehead เล่าต่อ...
"ถ้าให้คะแนนความป่วนของการตระเวนตรีกับวง OASIS จาก 1 ถึง 10 แล้ว คืนนั้นน่าจะได้สัก 6 คะแนนนะ ในสเกลของ OASIS แล้ว เราเคยเต็มกราฟกันไม่กี่ครั้งหรอก

"กับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง BLUR"
ในช่วงปี 1995 ทุกคนเชื่อกันเป็นตุเป็นตะเรื่องความขัดแย้งระหว่างวง BLUR และ OASIS ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมว่ามันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อของสื่อน่ะ ในความเป็นจริง ถ้าเราเดินอยู่ในเมืองแล้วบังเอิญเจอ Damon, Graham หรือ James เราจะตั้งวงคุยกัน และทุกอย่างปกติดี
ผมว่าน่าจะมีสักคืนที่ลอนดอน ที่ Liam ไปเจอ Damon หรือ Alex เข้า และพวกเราชวนกันดื่มสักที่หนึ่ง ในบรรยากาศที่เป็นมิตร แต่ถ้าเมื่อไหร่คุณจับ Liam ไปอยู่หน้ากล้อง แล้วมี Damon ยืนอยู่ข้าง ๆ ล่ะก็ Liam ก็คือ Liam แหละ เขาจะต้องเล่นตามน้ำสร้างซีนได้แน่ ๆ ( #วงการบันเทิงอะเนอะ)

"ประสบการณ์กับแฟนเพลงสุดโต่ง"
เราเคยผ่านประสบการณ์เผชิญหน้ากับแฟนเพลงแบบแปลก ๆ นับไม่ถ้วน แต่มันมีบางครั้งที่แปลกจนเหวอ เช่น ในการแสดงครั้งหนึ่งของ OASIS ที่อเมริกา ขณะที่เรากำลังเล่นเพลง 'I am the Walrus' อยู่ ๆ ก็มีคนแคระโดดขึ้นมาบนเวที เขาคว้าแทมบูรีนของ Liam ไป แล้วก็เต้นรอบ ๆ เวที จนกระทั่งการ์ดต้องมาหิ้วตัวเขาลงไปจากเวที

อีกเรื่องที่ลืมไม่ลง มีแฟนคลับกลุ่มหนึ่งจากอิตาลีลงทุนบินมาถึงลอนดอนเพื่อมาตามหาบ้านของ Liam และ Noel พวกเขาขึ้นแท็กซี่แล้วบอกโชเฟอร์ให้พาพวกเขาไปที่บ้านของ Bonehead พวกเขามาถึงแล้วก็นั่งรออยู่หน้าบ้านจนผมเดินออกมา ผมใช้เวลากับพวกเขาสักชั่วโมง พูดคุยกัน เซ็นชื่อบนข้าวของให้ แล้วพวกเขาก็ไป เราเจอกับเรื่องพวกนี้จนชิน แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ล้ำเส้นจนทำให้เราต้องฟิวส์ขาดหรอก

#วัยรุ่นยุค90

ช่วงนี้นอกจากกระแสข่าว Oasis Return แล้ว อีกกระแสที่กำลังมาคือ Linkin Park กับข่าวลือว่าที่นักร้องนำคนใหม่ (ซึ่งเจ้าตัวไ...
30/08/2024

ช่วงนี้นอกจากกระแสข่าว Oasis Return แล้ว อีกกระแสที่กำลังมาคือ Linkin Park กับข่าวลือว่าที่นักร้องนำคนใหม่ (ซึ่งเจ้าตัวได้ปฏิเสธไปแล้ว)

พอดีไปอ่านเจอบทความ "อดีตลามะน้อยกลับชาติมาเกิด สึกมาใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงหลังละทางธรรมตอนอายุ 18" ของ BBC แล้วมีจุดที่เชื่อมโยงกับวง Linkin Park เลยนำมาเล่าสู่กันฟัง

#ย่อๆ หนุ่มสเปน "โอเซล ตอร์เรส" ถูกทายทักตั้งแต่ยังแบเบาะว่าเป็นลามะกลับชาติมาเกิด (ลามะนามว่า "เยเซ") และนั่นทำให้เขาถูกส่งตัวไปศึกษาธรรมตั้งแต่เยาว์วัยเพื่อให้เติบใหญ่เป็นพระลามะ การต้องพลัดพรากจากพ่อแม่และถูกจำกัดอิสรภาพสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับโอเซล

อย่างไรก็ดี ผู้มาเยือนจากนอกวัดได้นำเอา “สิ่งต้องห้าม” อย่างเช่นเสียงดนตรีเข้ามาฝากโอเซลด้วย เช่น แผ่นซีดีของวง Linkin Park หรือ Limp Bizkit โดยเขาจะแอบฟังในห้องนอนหรือห้องน้ำ และต้องซ่อนมันเอาไว้อย่างดีเพราะหากถูกจับได้ก็จะโดนยึดไปทันที

โอเซลเผยความรู้สึกหลังจากที่ได้ฟังเพลงของ Linkin Park ว่า...
"ครั้งแรกที่ผมฟังเพลงของ Linkin Park ผมคิดทันทีว่า 'นี่ไม่ใช่ดนตรี มันก็แค่เสียงรบกวนต่างหาก'

แต่หลังจากนั้นผมก็เริ่มเข้าใจเนื้อหาของเพลงมากขึ้น มันพูดถึงความต้องการของมนุษย์ที่อยากให้คนอื่นเข้าใจ อยากได้การยอมรับ และอยากจะเป็นที่รัก ผมรู้สึกว่าเนื้อเพลงกระทบโดนใจเข้าอย่างจัง และเหลือเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผมในตอนนั้นโดยไม่ผิดเพี้ยน

คนส่วนใหญ่ไม่อยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของผมว่าเป็นใครกันแน่ พวกเขาแค่ต้องการให้ผมเล่นตามบทบาทที่คาดหวังไว้ ซึ่งนั่นรวมถึงทุกคนรอบตัวผมและพ่อแม่ของผมด้วย"

อ่านเนื้อหาเต็ม ๆ ได้ตามลิ้ง >>
https://www.bbc.com/thai/articles/c8rxme64xv6o?fbclid=IwY2xjawE-09VleHRuA2FlbQIxMQABHXjqbTaDotgsVuZOqcLTJ8dSbVDhVGq4uxscFH_1IuXLJ4Jz5oda2aLJ7w_aem_dYMSUiKXoiP7hCvvkaXu0Q

ที่อยู่

Bangkok Noi

เบอร์โทรศัพท์

+66957295428

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เอาเธอมาถีบ (Thai Alternative Lovers)ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง เอาเธอมาถีบ (Thai Alternative Lovers):

แชร์