04/01/2017
กำลังใจดี ดี จากบทความนี้
เสียงทำนายฝัน
ไมอามี่ ปี 1927
เด็กชายคนหนึ่งลืมตาขึ้นมาดูโลกด้วยน้ำหนักแรกเกิดเพียง 1.4 กิโลกรัม
ครอบครัวของเขาเป็นชาว Bahamas ที่อพยพมายังสหรัฐอเมริกา โดยพ่อของเขาประกอบอาชีพเป็นคนขับแทกซี่
เมื่อพ่อเห็นลูกชายของตัวเองเกิดมาตัวเล็กนิดเดียวก็รู้สึกเศร้าใจ คิดว่ายังไงก็คงไม่รอดชีวิตแน่ๆ
พ่อของเด็กชายคนนี้ถึงกับต่อโลงศพเล็กๆไว้เพื่อที่จะฝังลูกแรกเกิดของเขา
แต่เด็กขายคนนี้รอดชีวิตราวกับปาฏิหารย์ เขาเติบโตขึ้นมาในไร่มะเขือเทศกับพี่น้องอีก 6 คนจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
พออายุได้ 16 ปี เด็กหนุ่มก็มุ่งหน้าเข้าสู่มหานครนิวยอร์คเพื่อตามหาความฝัน
เขาทำงานเป็นคนล้างจานในร้านอาหารเพื่อยังชีพ ในขณะเดียวกันก็พยายามหางานอื่นไปด้วย
วันหนึ่งขณะเปิดหน้าหนังสือพิมพ์หางาน เขาเห็นประกาศรับสมัครนักแสดงที่ American Negro Theater เขาจึงคิดว่าไหนๆก็ไหนๆละ จะลองไปสมัครดู
ในวันที่ไปออดิชั่น เนื่องจากพื้นเพของเขามีสำเนียงของคาริเบียนและภาษาอังกฤษก็ไม่สู้ดีพูดศัพท์ยากๆที่เกินสองพยางค์ได้ไม่คล่องนัก คนที่ดูแลการคัดตัวนักแสดงจึงเดินมาแล้วหยิบบทออกจากมือเขาแล้วพูดว่า
“Get yourself a job as a dishwasher or something”
“ไปหางานทำเป็นคนล้างจานหรืออะไรซักอย่างเหอะ”
นั่นคือจุดเปลี่ยนชีวิตของเด็กหนุ่ม เขาคิดว่า เห้ย นี่เขาไม่ได้บอกคนที่ดูแลเรื่องคัดตัวนักแสดงเลยนะว่าเขามีอาชีพล้างจาน นี่มันต้องเป็นชีวิตเขาไปตลอดจริงๆเหรอ
เขาคิดในใจว่า
“If he didn’t know, what was it about me that implied to this stranger that dishwashing would accurately sum up my whole life’s worth?”
ถ้าจะให้แปลก็คงประมาณว่า
“หมอนี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฉันเลย แล้วอะไรกัน ที่ทำให้คนแปลกหน้าสามารถสรุปทั้งชีวิตของฉันลงมาเป็นเรื่องการล้างจานได้วะ”
เด็กหนุ่มกลับไปล้างจานต่อ แต่คราวนี้เขาพยายามพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์ตอนพัก โดยมีเด็กเสิร์ฟชาวยิวอีกคนเป็นคนช่วยสอนให้ เด็กหนุ่มต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าเขาสามารถเป็นนักแสดงได้
ผ่านไปหลายเดือนเขากลับไปที่ American Negro Theater อีกครั้ง คราวนี้เขาได้ถูกเลือกเป็นนักแสดงสมใจ อาจจะเพราะโชคช่วยด้วยเพราะโรงละครกำลังขาดนักแสดงชายพอดี
การแสดงในช่วงแรกของเขาแย่มากจนมันทำให้คนดูหัวเราะเสมอๆ แต่นั่นไม่เคยทำให้เขาหยุดพัฒนาตัวเอง
ในปี 1950 เขาได้แสดงเรื่อง No Way Out
ในปี 1958 เขาได้แสดงเรื่อง The Defiant Ones และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
ในปี 1963 เขาได้รับรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนต์เรื่อง Lilies of the Field เป็นนักแสดงผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รางวัลนี้
ปี 1997-2007 เขาได้รับเลือกเป็นเอกอักราชทูต Bahamas ประจำประเทศญี่ปุ่น
ปี 2009 เขาได้รับเหรียญ Presidental Medal of Freedom ซึ่งเป็นเหรียญเกียรติยศสูงสุดที่พลเรือนสามารถรับได้
นี่คือเรื่องราวชีวิตของ Sydney Poitier อีกหนึ่งคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับเสียงวิจารณ์ของคนอื่น แต่เลือกที่จะต่อสู้เพื่อความฝันของตัวเอง
เราได้อ่านเรื่องราวแบบนี้มามากมายนับไม่ถ้วน
เรื่องที่เราได้อ่านมาทุกคนเต็มไปด้วยความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว อดทน ไม่ยอมแพ้
เราก็น่าจะทำได้ เพราะเรามีสองมือ สองเท้า หนึ่งสมองเหมือนกัน
แต่พอถึงตอนที่เราต้องทำจริงๆ ทำไมเราถึงกลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด และหลายครั้งเลือกที่จะอยู่ใน comfort zone ของตัวเอง แทนที่จะเดินออกไปต่อสู้เพื่อความฝันที่เราอยากได้
เราลองมานั่งวิเคราะห์กันดูครับ
ผมพบว่าปัจจัยสำคัญนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่อง “เสียง” ที่เราได้ยินครับ
เสียงแรกคือ "เสียงของคนรอบข้าง" เสียงของผู้หวังดี ซึ่งเขาหวังดีกับเราจริงๆนะครับ เสียงนี้อาจจะเป็นเสียงของครอบครัว ญาติผู้ใหญ่ เพื่อนสนิท คนที่เราเคารพ
เสียงของคนเหล่านี้ดังมากทีเดียว อาจจะเป็นเพราะเขาอยู่ใกล้เรา อาจจะเป็นเพราะเขามีบุญคุณกับเรา อาจจะเป็นเพราะเรารักเขา ฯลฯ
เวลาคุณเล่าเรื่องความฝันที่คุณอยากทำให้ใครซักคนฟังเคยได้ยินคำนี้ไหมครับ
“ลูกป้าเคยทำแบบเธอแล้ว เจ๊งไม่เป็นท่าเลย”
“เธอเด็กเกินไปนะ”
“เธอแก่เกินไปแล้วนะ”
“อยู่อย่างนี้ก็สบายแล้วจะไปหาเรื่องใส่ตัวทำไม”
“เอาจริงๆนะ เธอไม่มีพรสววรค์ด้านนี้หรอก ไม่น่าจะรอดนะ”
“สิ่งที่เธอคิดต้องมีคนที่คิดอยู่แล้วและทำได้ดีกว่าเธอ เพราะฉะนั้นอย่าทำเลย”
“ธุรกิจ 9 ใน 10 ที่เกิดใหม่เจ๊งหมด เชื่อฉัน ฉันเรียนมา”
“อย่าทำเลย เชื่อฉันเถอะ ฉันมีประสบการณ์เยอะกว่าเธอตั้งเยอะ”
ฯลฯ
นี่คือเสียงของกลุ่มคนที่หวังดีครับ เขาพูดออกมาอาจจะเพราะเขามีแผนการในชีวิตวางไว้ให้คุณแล้ว หรือเขาอาจจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับสิ่งที่คุณกำลังจะทำ เขาอาจจะกลัวหรือคิดไปเองกับความฝันของคุณ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนไม่มีใครรู้อนาคตและการันตีความสำเร็จของคุณได้ แต่ผมเชื่อเสมอครับว่าถ้าคุณพยายามมากพอความฝันมันเป็นไปได้ครับ และที่สำคัญกว่านั้นคนเรามักเสียใจกับสิ่งที่ไม่ได้ทำมากกว่าสิ่งที่ได้ทำแม้จะล้มเหลวอีกครับ
เสียงที่สองคือ "เสียงของพวกหวังดีประสงค์ร้าย" อันนี้อันตรายสุดๆ เพราะคนกลุ่มนี้จะแฝงมากับภาพที่ดูเหมือนอยากจะช่วย แต่จริงๆแล้วอยากจะมากดคุณลงมากกว่า คนกลุ่มนี้คือพวก negative people ที่ต้องหลบให้ไกลๆอย่าเอาคนพวกนี้เข้ามาอยู่ในชีวิตไม่งั้นพังแน่นอนครับ คนเหล่านี้จะสนุกสนานกับการได้ใช้คำพูดในการวิพากษ์วิจารณ์ ฉุดลากคุณไม่ให้ไปไหนด้วยเหตุผลสองข้อด้วยกันครับ
1.เพราะการวิจารณ์มันง่ายกว่าการสร้างสรรค์ : หนังสือสุดอภิมหาคลาสิคอย่าง The Great Gatsby ก็เคยถูกนักวิจารณ์บางคนให้คะแนนต่ำมากๆมาแล้วครับ ภาพยนต์ที่ผมว่าดีที่สุดอย่าง The Godfather ก็มีคนเขียนด่า เพราะฉะนั้นถึงแม้คุณทำอะไรอออกมาดีแค่ไหนก็รับรองว่ามีคนด่าแน่นอนครับ เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดมากอยากทำอะไรก็ทำครับ
2. คนบางคนไม่ต้องการให้คุณตามหาความฝัน เพราะพวกเขาไม่มีโอกาสได้ตามหาความฝันของตัวเอง : ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลว่าไม่กล้าออกจาก comfort zone หรืออะไรก็แล้วแต่ วันหนึ่งคนเหล่านี้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามันสายเกินไปสำหรับเขาที่จะตามหาฝันของตัวเองแล้ว คุณเหมือนกับกระจกที่สะท้อนสิ่งที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นกับพวกเขา ซึ่งคนเหล่านี้ไม่อยากให้คุณทำสำเร็จ เขาจึงต้องพูดหว่านล้อมทุกอย่างไม่ให้คุณออกเดินทางตามความฝันของคุณ
ถ้าคุณมีคนแบบนี้อยู่รอบๆตัวคุณรีบถอยออกมาให้ห่างๆนะครับ คบไว้ชีวิตมีแต่อัปมงคลครับ
เสียงที่สามคือเสียงที่น่ากลัวที่สุด
มันคือ "เสียงในหัวของเราเอง"
คุณเคยลองวิ่งไกลๆไหมครับ
มันจะมีเสียงที่คอยบอกว่า พอเถอะ หยุดเถอะ นายทำไม่ได้หรอก วันนี้เหนื่อยแล้วพักก่อนนะ
เสียงในหัวเรานี่แหละครับที่น่ากลัวที่สุด
เพราะจริงๆแล้วมันอยู่กับเราตลอดไม่เคยไปไหน เพียงแต่ว่ามันจะพูดออกมาตอนไหนเท่านั้นเอง
จากประสบการณ์ของผม เสียงในหัวของเราจะมาตอนที่เราเหนื่อยสุดๆ หรือไม่ก็ตอนที่เรากำลังชะล่าใจ พูดง่ายๆคือเสียงนี้มักจะมาตอนคุณการ์ดตก อยู่ในสภาะที่บอบบางเสมอ
วิธีการเดียวที่จะจัดการกับมันได้คือ มีสติและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันโดยไม่สนใจมันครับ
นึกถึง John Nash ใน A Beautiful Mind ที่ Professor Nash มักจะเห็นภาพหลอน ซึ่งถ้าเขายิ่งสนใจภาพเหล่านั้นมันจะยิ่งส่งผลกับเขามากขึ้น แต่ถ้าเขาไม่ยุ่งกับภาพหลอนเหล่านั้น ภาพเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหน แต่จะยืนอยู่ห่างๆและส่งผลกับเขาน้อยลง
ผมว่าเสียงในหัวของเราก็คล้ายๆกับภาพหลอนเหล่านั้นแหละครับ
เสียงที่สี่คือ "เสียงในใจของเรา"
นี่คือเสียงที่เราต้องฟังอย่างตั้งใจ เพราะนี่คือเสียงของความฝันของเราครับ มันเต็มไปด้วยพลัง เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เต็มไปด้วยทัศนคติของนักสู้
อย่าให้เสียงของใคร ดังกว่าเสียงในใจของเรานะครับ
เหมือนที่ Steve Jobs เคยกล่าว quote สุดคลาสิคไว้ว่า
“Your time is limited, so don’t waste it living someone else’s life. Don’t be trapped by dogma – which is living with the results of other people’s thinking. Don’t let the noise of other’s opinions drown out your own inner voice. And most important, have the courage to follow your heart and intuition. They somehow already know what you truly want to become. Everything else is secondary.”